วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

“อัลเบิร์ต” อนุสรณ์ (1) พิพิธภัณฑ์แห่งตำนาน / รีวิวเที่ยวลอนดอน

วันนี้ ขออนุญาต นำบทความที่เคยเขียนลงนิตยสาร ต่วย'ตูน พิเศษ มาลงให้ได้อ่านกัน พยายามเน้นที่ตำนาน และภาพศิลปะสวยๆ ใครที่ชอบงานแกะสลัก และปกรณัมกรีก น่าจะสนุกได้นะคะ สำหรับเรื่องในชุดนี้ มี 3 ตอน เดี๋ยวจะทยอยนำมาลงให้ครบค่ะ (อ้อ ใครที่สงสัยว่า เราทำงานอยู่บางกอกโพสต์ แล้วทำไม มีผลงานเขียนในนิตยสาร ต่วย'ตูน พิเศษ ก็ต้องบอกกันก่อนว่า ได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาแล้วค่ะ เพราะเป็นหนังสือที่ไม่ได้มีผลประโยชน์ขัดกันกับบางกอกโพสต์ และเขียนขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึง "คุณวาทิน ปิ่นเฉลียว" หรือ "ลุงต่วย" อดีตบรรณาธิการ ผู้ก่อตั้งนิตยสาร ต่วย'ตูน พิเศษ ใช่ช่วงที่คุณลุงท่านเสียชีวิต เลยเขียนเรื่องชุดนี้ขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงคุณลุงผู้เป็นแรงบันดาลใจให้ได้ออกไปเที่ยวรอบโลกด้วยค่ะ)


“อัลเบิร์ต” อนุสรณ์ (1)
ตอน..พิพิธภัณฑ์แห่งตำนาน


ในบรรดาเรื่องรักๆ ของราชวงศ์นั้น ราชวงศ์อังกฤษ ดูจะเป็นราชวงศ์ที่มีคนจับตามองมากที่สุดในโลก และหนึ่งในตำนานรักที่มั่นคง น่าประทับใจที่สุด น่าจะเป็นความรักของสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย (Queen Victoria) กับพระสวามี เจ้าชายอัลเบิร์ต (Prince Albert)

ทั้งสองพระองค์ครองรักอย่างหวานชื่นเป็นเวลา 21 ปี มีพระโอรสธิดาถึง 9 พระองค์ ซึ่งต่อมาก็ได้มีทายาทอีกมากมายทั่วยุโรปแบบที่เรียกได้ว่า มีลูกเต็มบ้าน มีหลานเต็มทวีปจริงๆ

สมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอัลเบิร์ตในปี ค.ศ.1840 ในตอนนั้น เจ้าสาวมีพระชนมายุได้ 21 พรรษา และทรงรักใคร่อย่างลึกซึ้งตราบจนพระสวามีสิ้นพระชนม์ไปก่อนในปี ค.ศ.1861 ทิ้งให้สมเด็จพระราชินีนาถเป็นม่ายนานถึง 40 ปี ก่อนที่พระนางจะตามไปเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าในปี ค.ศ.1901 ด้วยพระชนมายุ 82 พรรษา

ความรักที่สมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียมีให้เจ้าชายอัลเบิร์ตนั้น เป็นที่เลื่องลือ หลังจากพระสวามีจากไป สมเด็จพระราชินีแทบไม่เคยมีความสุขอีก พระนางทรงภูษาสีดำตลอดพระชนม์ชีพ และได้ทรงสนับสนุนให้มีการสร้างอนุสรณ์ต่างๆ เพื่อระลึกถึงพระสวามีมาโดยตลอด จนสถานที่ซึ่งมีพระนาม V&A หรือวิคตอเรีย-อัลเบิร์ต เคียงคู่กันนั้น มีมากมายในอังกฤษ โดยเฉพาะในย่านที่เรียกว่า เขตของอัลเบิร์ต (Albertopolis) ซึ่งอยู่ในมหานครลอนดอน แถบถนนเอ็กซิบิชั่น (Exhibition Road) ซึ่ง “อัลเบิร์ตอนุสรณ์” เป็นเรื่องที่เราจะมาว่ากันในวันนี้ และต่อด้วยอีก 2-3 ตอนในฉบับต่อๆ ไป

เรามาเริ่มต้นกันที่สถานที่ที่ทำให้นึกถึงความรักของทั้งสองพระองค์ได้มากที่สุด คือ พิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ต (Victoria and Albert Museum) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงงานศิลปะและการออกแบบชั้นนำของโลก แม้ว่าคนที่ไปเที่ยวมหานครลอนดอนนิยมไปเยือน พิพิธภัณฑ์อังกฤษ (British Museum) มากกว่า แต่หากได้มาชมพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ต ก็รับประกันว่าจะติดใจแน่นอน กับศิลปะงามๆ ระดับโลกมากมายที่ถูกสะสมและจัดแสดงที่นี่

จากสถานีรถไฟใต้ดินเซาท์เคนซิงตัน (South Kensington) เดินไปไม่ไกลก็จะถึงพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ต สถานที่ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องระบือว่า มีผลงานทุกอย่าง ทุกประเภท จากทั่วทุกมุมโลก ภายในห้องจัดแสดง 145 ห้อง ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ เฟอร์นิเจอร์ ภาพวาด ผ้า อาวุธ ฯลฯ และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ระยะทางของทางเดินที่สามารถชื่นชมสิ่งของล้ำค่าต่างๆ ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ มีความยาวรวมกันถึง 11 กิโลเมตร

ใช่ค่ะ 11 กิโลเมตรจริงๆ ไม่ได้พิมพ์ผิด หรือตกทศนิยม ไม่ใช่ 1.1 กิโลเมตร แต่เป็น 11 กิโลเมตร ที่ผู้เขียนเองก็สารภาพว่า แม้จะไปเดินมาแล้วหลายรอบ แต่ก็ยังเดินไม่ครบ จบไม่ทั่วสักที กับพื้นที่ 51,000 ตารางเมตร และข้าวของจัดแสดงถาวร 4.5 ล้านชิ้น จากข้อมูลเท่าที่ได้มา จำนวนผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ในปี พ.ศ.2556 มีประมาณ 3.29 ล้านคน ซึ่งทุกคนสามารถเข้าชมได้ฟรี ไม่เสียสตางค์ค่ะ

ในพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ต ก็เป็นเหมือนอีกหลายๆ สถานที่ซึ่งเป็นอนุสรณ์แห่งรักของสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย คือมีการสลัก หรือทำสัญลักษณ์ V&A เอาไว้หลายแห่ง เพื่อเตือนใจผู้มาเยือนว่า สถานที่แห่งนี้ เกิดขึ้นมาจากความรัก



แต่หากย้อนไปจริงๆ พิพิธภัณฑ์นี้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1852 ช่วงที่เจ้าชายอัลเบิร์ตยังทรงพระชนม์ชีพ ในช่วงแรกๆ เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งการผลิตด้วยเครื่องจักร (Museum of Manufactures) เพื่อเป็นแรงบันดาลใจสำหรับผู้ที่เรียนด้านการออกแบบ พร้อมทั้งยังเน้นการให้ความรู้ด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์ แต่ต่อมาในปี ค.ศ.1899 ซึ่งเป็นช่วงที่สมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียทรงชราภาพมากแล้วนั้น พระนางได้เปลี่ยนชื่อพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็น คือ พิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ต เพื่อระลึกถึงพระสวามีที่ไม่เคยลืมเลือน และได้มีการสะสมผลงานต่างๆ เข้ามาในพิพิธภัณฑ์มากขึ้นเรื่อยๆ

ผลงานต่างๆ ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์นั้น งานที่โดดเด่นเป็นที่ชื่นชมมากที่สุดด้านหนึ่ง คือ งานแกะสลักเรื่องราวในตำนานมากมายที่ตอนนี้ตั้งเรียงรายอยู่เต็มทางเดินหลักของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ และหากจะให้เลือกออกมาบอกว่า ผลงานชิ้นไหนที่โดดเด่นที่สุดของพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ต งานนี้ผู้เขียนขอฟันธงบอกว่า ตอบไม่ได้ เพราะงามไปเสียทั้งนั้น ก็เลยจะขออนุญาตเลือกเอาผลงานที่มาจากตำนานอันโด่งดังมานำเสนอกันก่อน ซึ่งต้องบอกว่า การเดินเที่ยวชมนี้ เปรียบประหนึ่งการเดินตามรอยตำนานปกรณัมกรีกกันเลยทีเดียวเชียวค่ะ

ศิลปะชิ้นแรกกลางโถงทางเดินของพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ต ในห้องหมายเลข 22 ที่อยากแนะนำคือ รูปหินอ่อนแกะสลัก เธเซอัสและมิโนทอร์ (Theseus and the Minotour) ผลงานของอันโตนิโอ คาโนวา (Antonio Canova) ศิลปินชาวอิตาเลียน ที่บรรจงแกะสลักขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1782 รูปสลักนี้ คาโนวาเลือกเอาตอนนี้เธเซอัสสู้กับมิโนทอร์จนได้ชัย สามารถสังหารสัตว์ประหลาดในตำนานกรีกที่มีตัวเป็นคนหัวเป็นกระทิงนี้ได้สำเร็จ ว่าแล้ว เธเซอัสก็นั่งคร่อมร่างของมิโนทอร์โชว์เสียเลย




ถึงตอนนี้ คงต้องขอแว่บออกจากพิพิธภัณฑ์ เข้าไปในปกรณัมกันก่อน เผื่อแฟนานุแฟนจะลืมเรื่องของเธเซอัสไปเสียแล้ว ชายหนุ่มผู้นี้ เป็นโอรสของกษัตริย์เอจัส (Aegeus) ผู้ครองนครเอเธนส์ แต่ตั้งแต่ถือกำเนิดมา ก็ไม่เคยได้พบหน้าพระบิดา เพราะกษัตริย์เอจัสนั้น มาทำสาวทางใต้ตั้งครรภ์ ก่อนที่จะจากไป โดยทิ้งดาบไว้ให้ดูต่างหน้า

ครั้นเธเซอัสเติบโตขึ้น เป็นหนุ่มรูปงามที่แข็งแกร่ง ก็ได้ออกเดินทาง เพื่อจะไปพบพระบิดา และระหว่างทาง ก็ได้สร้างวีรกรรม ปราบผู้ร้ายไปทั่ว จนกลายเป็นวีรบุรุษที่ปวงประชาชื่นชม แต่ชื่อเสียงที่ดังกระฉ่อนนี้ ก็ทำเอากษัติรย์เอจัสเกิดริษยาเข้า ก็เลยเชิญเธเซอัสไปงานเลี้ยง กะว่าจะวางยาพิษ แต่พอได้เห็นดาบ ก็เลยรู้ว่าเป็นพระโอรส แทนที่จะเกิดโศกนาฎกรรม เลยกลายเป็นแฮปปี้เอนดิ้ง กษัตริย์ผู้ชราแต่งตั้งเธเซอัสเป็นรัชทายาท ทว่า สุขนาฏกรรมนี้ ก็จะกลายเป็นโศกนาฏกรรมในท้ายที่สุดอยู่ดี

ย้อนไปเมื่อนานมาแล้ว ไมนอส ผู้ครองครีต (King Minos of Crete) ได้เคยส่งโอรสมายังเอเธนส์ แต่ก็มาพลาดพลั้งสิ้นพระชนม์ลง เพราะกษัตริย์เอจัสดันส่งไปสู่กับสัตว์ที่ดุร้าย ทำเอากษัตริย์ไมนอสหนวดกระดิก ประกาศจะส่งกองทัพมาล้างบางเอเธนส์ให้ราบเป็นหน้ากลองซะเลย

แต่ก็มีอีกเรื่องที่ประจวบเหมาะกัน นั่นคือ ชายาของไมนอสได้เกิดมีสัมพันธ์กับกระทิง ได้โอรสออกมาเป็นอสุรกายครึ่งคนครึ่งกระทิง นามมิโนทอร์ ซึ่งไมนอสสั่งให้สร้างเขาวงกตกักขังไว้ ในทางวกวนที่ใครก็หาทางออกไม่ได้ ซึ่งตรงนี้เอง ที่ไมนอสเอามาเป็นเครื่องต่อรองกับเอเธนส์ โดยยื่นข้อเสนอว่า จะไม่บุกเอเธนส์ หากเอเธนส์ยอมส่งเครื่องบรรณาการเป็นชาย 7 หญิง 7 ไปให้ทุก 9 ปี ซึ่งก็ไม่ได้ส่งไปทำอะไร นอกจากไปให้มิโนทอร์รับประทานให้สบายอุรานั่นแหละ

ตอนที่เธเซอัสมาเป็นรัชทายาท ก็ประจวบเหมาะกับเป็นเวลาที่ต้องส่งบรรณาการไปยังครีต และตามหน้าที่พระเอก เธเซอัสบอกว่า ขอเป็นบรรณาการเสียเอง แต่จะไม่ไปแบบซังกะตายให้มิโนทอร์อิ่มสบายๆ หรอกนะ เพราะเธเซอัสตั้งใจจะไปสังหารมิโรทอร์ต่างหาก ว่าแล้วก็สั่งเสียพระบิดา ก่อนที่จะออกเดินทางว่า ถ้าหากฆ่ามิโนทอร์ได้สำเร็จ ตอนที่แล่นเรือกลับบ้าน จะเปลี่ยนใบเรือจากสีดำเป็นสีขาว เป็นสัญลักษณ์ว่ารอดชีวิตกลับมาได้

เมื่อเธเซอัสไปถึงเกาะครีต โชคชะตาก็เข้าข้าง เพราะเพียงแค่เดินผ่าน เอริแอดเน (Ariadne) ธิดาของไมนอสได้แป๊บเดียว พระธิดาสาวก็เกิดรักปักใจ หลงหนุ่มรูปงามคนนี้เสียจนไม่อาจตัดใจให้ตายตกไปในเขาวงกตได้ เอริแอดเนเลยไปหาวิธีออกจากเขาวงกตมาบอกเธเซอัสว่า จะยากอะไร ก็แค่ตอนเข้าไป ให้พกกลุ่มด้ายไปด้วย แล้วผูกปลายด้ายไว้ด้านในประตู จะไปไหนก็สาวด้ายไปเรื่อยๆ

ว่าแล้ว เธเซอัสผู้มั่นอกมั่นใจก็เดินเข้าเขาวงกตที่ไม่เคยมีใครรอดออกมาได้อย่างอาจหาญ จนไปเจอมิโนทอร์นอนหลับอยู่ เธเซอัสไม่พูดพล่ามทำเพลง โถมเข้าไปกดมิโนทอร์ไว้กับพื้นและทุบจนตาย งานนี้ มิโนทอร์ไม่ทันได้ตอบโต้สักเอะ ได้แต่กรอกตา ขยับหัวเบาๆ และลาโลกอันเต็มไปด้วยกรรมไปง่ายๆ ซึ่งตอนนี้เอง ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดศิลปะชิ้นงามที่ตั้งตระหง่านอยู่ในพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ต

จะเล่าเพียงเท่านี้ก็กระไร ต้องเล่าต่อไปอีกว่า หลังจากสังหารมิโนทอร์แล้ว เธเซอัสก็กลับบ้าน แต่อาจจะเพราะดีใจจนลืมทำโน่นทำนี่ ก็เลยลืมเปลี่ยนใบเรือจากสีดำเป็นสีขาว ทำให้กษัตริย์เอจัสที่เฝ้ามองท้องทะเลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทอดพระเนตรเห็นแต่ไกลว่า เรือที่กลับมาเป็นเรือใบสีดำ ซึ่งหมายถึงพระโอรสกระทำการไม่สำเร็จ กลายเป็นอาหารของมิโนทอร์ไปเสียแล้ว ทำให้กษัตริย์เอจัสเสียพระทัยมาก จนกระโดดลงสู่ทะเล สิ้นพระชนม์ กลายเป็นโศกนาฏกรรมอย่างที่ว่า และทะเลตรงที่พระองค์กระโดดลงไป ก็ได้ชื่อตามพระนามมาจนปัจจุบันว่า ทะเลอีเจียน (Aegean Sea) มานับแต่นั้น ในขณะที่เธเซอัสก็ได้เถลิงราชย์เป็นกษัตริย์ต่อจากพระบิดา
ผลงานแกะสลักเธเซอัสและมิโนทอร์ในพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ต จึงเป็นช่วงชีวิตที่สำคัญ และโดดเด่นที่สุดของเธเซอัส หินอ่อนที่ถูกสลักเสลาเป็นชายหนุ่มเปลือย มีมัดกล้ามพองาม เค้าหน้าหล่อเหลาแบบหนุ่มกรีก นั่งกำชัยอยู่บนตัวอสุรกายครึ่งคนครึ่งสัตว์ที่ดูเหมือนไร้ทางสู้ ตั้งอยู่บนฐานหินที่สลักชื่อศิลปินคาโนวา เป็นผลงานที่ดูกี่ทีก็ไม่เบื่อ และได้รับรู้ถึงพลังของศิลปิน และพลังของเธเซอัสไปพร้อมๆ กัน

จากนั้น เรามาต่อกันที่รูปสลักเธทิสจุ่มอะคิลลิสในแม่น้ำสติกซ์ (Thetis Dipping Achilles in the River Styx) ผลงานของโธมัส แบงก์ส (Thomas Banks) ศิลปินชาวอังกฤษ ที่สลักขึ้นในปี 1790 ผลงานชิ้นนี้ เป็นงานที่ผู้เขียนชอบมากเป็นพิเศษ เมื่อมองลึกเข้าไปถึงตำนานของอะคิลลิส เพราะนี่เป็นอีกหนึ่งในจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมที่เป็นเหมือนชะตาลิขิต



อะคิลลิสเป็นโอรสของท้าวเพลีอัส (Peleus) และเธทิส ตอนที่เขาเกิดใหม่ๆ เธทิสผู้มารดาต้องการให้บุตรชายผู้นี้ยืนยงคงกระพันยิงฟันไม่เข้า ก็เลยคว้าข้อเท้าอะคิลลิส เอาหัวจิ้มจุ่มทั้งตัวเขาลงแม่น้ำสติกซ์ ซึ่งจะมีผลให้แข็งแกร่ง ไม่มีอาวุธใดทำร้ายได้ แต่ความที่ไม่ทันได้ระมัดระวังให้ดี ส่วนที่เป็นส้นเท้าที่เธทิสจับเอาไว้ กลายเป็นส่วนที่ไม่โดนน้ำจากแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ก็เลยกลายเป็นจุดอ่อนของอะคิลลิส ซึ่งในเวลาต่อมา ตอนที่อะคิลลิสไปรบในสงครามกรุงทรอย และเป็นนักรบที่เก่งที่สุด แต่ก็ต้องมาชีวาวาย เพียงเพราะโดยลูกธนูของเจ้าชายปารีส (Paris) ปักเข้าตรงเท้า และคำว่า ส้นเท้าของอะคิลลิส (Achilles' heel) ในภาษาอังกฤษ เลยหมายถึง “จุดอ่อน” อันมีที่มาจากเรื่องนี้นี่เอง

ไหนๆ ฝอยเรื่องจุดอ่อนของอะคิลลิสแล้ว ขอแถมอีกนิดว่า สงครามกรุงทรอย ซึ่งเป็นที่จบชีวิตของอะคิลลิสนั้น ส่วนใหญ่มักจะบอกว่า เป็นสงครามที่เกิดจากเจ้าชายปารีส แต่หากมองย้อนลึกเข้าไปอีก เพลีอัส และเธทิส ผู้ให้กำเนิดอะคิลลิสเอง ก็มีส่วนทำให้สงครามเกิดขึ้น แม้จะเป็นการมีส่วนแบบห่างไกลก็ตาม

เรื่องของเรื่องคือ ตอนที่บิดามารดาของอะคิลลิสอภิเษกสมรสกันนั้น ได้เชิญแขกจำนวนมาก รวมถึงทวยเทพทั้งหมด แต่จะว่าทั้งหมด ก็ไม่เชิง เพราะมีเทพีนางหนึ่งเพียงนางเดียว ที่ไม่ได้รับเชิญไปงานแต่งงานของเพลีอัสกับเธทิส ซึ่งจะโทษบ่าวสาวก็คงไม่ได้ เพราะเทพกัญญาที่ไม่ได้รับเชิญ คือ เอริส (Eris) เทพีแห่งความบาดหมางที่ปกติแล้ว ก็ไม่เคยได้รับเชิญไปงานไหนเลย ก็แหม ชื่อเสียงเรื่องสร้างความบาดหมางของนางระบือไกล แล้วใครจะอยากเชิญมางานแต่งงานกันล่ะ แต่งานนี้ เอริสเกิดมีน้ำโหค่ะ แหม ปวงเทพทั้งโอลิมปัสมางานนี้กันหมด แล้วทำไมนางไม่ได้มาอยู่องค์เดียว ว่าแล้ว เอริสก็ทำเรื่องถนัด พระนางสร้างแอปเปิ้ลทองคำขึ้นมาลูกหนึ่ง สลักไว้ว่า สำหรับผู้งดงามที่สุด แล้วโยนเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง ทีนี้นี่เอง เทพีก็เทพีเหอะ ความอยากได้ใคร่มี ทำให้หมกมุ่นกันไปหมด ว่าเทพกัญญานางไหนนะ ควรคู่จะได้เป็นเจ้าของแอปเปิ้ลสำหรับผู้งดงามที่สุดนี้ งานแต่งงานเลยกลายเป็นงานแก่งแย่ง แต่เทพีองค์อื่นๆ ก็ถอนตัว หลังจากตระหนักว่าไม่ได้งดงามที่สุด ยกเว้นเพียง 3 เทพีแถวหน้า ที่ไม่มีใครยอมใคร คือ อะโฟรไดท์ (Aphrodite) เฮรา (Hera) และอธีนา (Athena) ที่แย่งแอปเปิ้ลกันอย่างถึงพริกถึงขิง ถึงกับไปขอให้มหาเทพซุส (Zeus) ตัดสิน

แต่งานนี้ มหาเทพก็มหาเทพเถอะ รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางเหมือนกัน พระองค์ไม่ทรงตัดสิน แต่โบ้ยให้ไปถามเจ้าชายปลายแถวอย่างปารีส ให้เป็นผู้ตัดสินแทน เทพีทั้ง 3 องค์จึงตรงไปหาปารีส พร้อมกับเสนอ “สินบน” กันครึกโครม

 เฮรายื่นข้อเสนอว่า หากเลือกนาง ปารีสจะได้เป็นเจ้าแห่งยุโรปและเอเชีย ด้านอธีนาให้คำมั่นว่า จะช่วยให้ปารีสนำทรอยไปชนะกรีกให้ได้ ในขณะที่อะโฟรไดท์ให้สัญญาว่า จะมอบหญิงที่งามที่สุดในโลกแก่เขา และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ปารีสไม่เลือกเอากำลังหรืออำนาจ แต่เลือกหญิงงาม และยกแอปเปิ้ลทองคำให้อะโฟรไดท์ และในเวลานั้น หญิงงามสุดในโลกคือเฮเลนแห่งสปาร์ตา (Helen of Sparta) ซึ่งอภิเษกแล้วกับเมเนเลอัส (Menelaus) กษัตริย์แห่งสปาร์ตา แต่ด้วยพรของอะโฟรไดท์ ปารีสก็ได้ไปลักพาเฮเลนมาสู่ทรอย จนเมเนเลอัสต้องไปชักชวนนักรบทั่วทั้งกรีกมาช่วย เกิดเป็นสงครามกรุงทรอยอันเลื่องลือ

สงครามนี้เกิดจากงานแต่งงานของเพลีอัสกับเธทิส และก่อนสงครามจะจบลง ชีวิตของอะคิลลิส โอรสสุดที่รักของคู่แต่งงานก็จบสิ้นลงด้วย

ผลงานแกะสลัก เธทิสจุ่มอะคิลลิสในแม่น้ำสติกซ์ ซึ่งถูกจัดวางไว้ในที่พิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ตนี้ ไม่ได้อยู่ตรงโถงกลางเหมือนรูปหินอ่อนแกะสลัก เธเซอัสและมิโนทอร์ ที่กล่าวถึงในลำดับแรก แต่ก็อยู่ในห้องเดียวกัน คือห้องหมายเลข ๒๒ ตรงบริเวณด้านข้างทางเดิน ติดริมหน้าต่าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผลงานที่ไม่สำคัญ ทว่า คงต้องเข้าใจว่า ด้วยจำนวนผลงานศิลปะที่มีมากมาย ทำให้การจัดวางต้องกระจายไปทั่วห้อง ดังนั้น หากแฟนานุแฟนได้มาเยี่ยมชม คงต้องสอดส่ายสายตากันให้มาก และไม่สามารถดูงานศิลปะให้ครบได้ด้วยการเดินตรงๆ เท่านั้น แต่ต้องเดินซิกแซกไปๆ มาๆ ถึงจะได้ชมกันทั่วๆ

ผลงานหินอ่อนชิ้นนี้ เราจะได้เห็นเธทิสแบบกึ่งเปลือย ซึ่งเป็นธรรมดาของผลงานแกะสลักตำนานกรีก นางนุ่งผ้าแบบจะหลุดมิหลุดแหล่ แต่ก็เพียงพอที่จะปกปิดส่วนสำคัญ แม้จะเปลือยหลัง และมองเห็นความอวบอั๋นเล็กๆ ตามสมัยนิยมครั้งกระโน้น ซึ่งเป็นความงามแบบคลาสสิค ในรูปแกะสลักนี้ นางบรรจงจับเท้าอะคิลลิสที่ศีรษะคว่ำลงไปด้านล่าง ดูแล้วน่าหวาดเสียวอยู่ หากแม่คนไหนจะทำกับลูกแบบนี้คงต้องคิดหนัก เพราะหากเผลอหลุดมือไป เห็นทีจะไม่รอด

สำหรับอะคิลลิสยามแรกเกิดในรูปสลักนี้ เป็นทารกที่ดูอ่อนช้อย มีพุงเล็กๆ พอน่ารักน่าชัง ดูไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มารดาจะจับจุ่มน้ำยังไงก็ไม่รู้เรื่องอะไรกับใครเขา และด้วยผลงานแกะสลักชั้นเยี่ยมฝีมือโธมัส แบงก์สที่ไม่ได้มีข้อผิดพลาดในงานศิลปะนี้ เรากลับได้เห็นความผิดพลาดของเธทิส ที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตของอะคิลลิสในที่สุด
ถึงตอนนี้ เพิ่งจะแนะนำผลงานจากปกรณัมไปเพียง 2 ชิ้น แต่ใช้พื้นที่หน้ากระดาษอันแพงแสนแพงไปแล้วยาวเหยียด ในลำดับถัดๆ ไป คงจะต้องฝอยสั้นลงบ้าง และไหนๆ พิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ตก็เป็นสถานที่อนุสรณ์แห่งรัก ก็เลยจะไปต่อกันด้วยเรื่องที่เกี่ยวกับความรักกันสักหน่อย คือเรื่องของเวอร์ทัมนัสและโพโมนา (Vertumnus and Pomona) กับรูปสลักหินอ่อนชื่อเดียวกันนี้ ผลงานของ ลอเรนท์ เดลแวกซ์ (Laurent Delvaux) ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1725



เวอร์ทัมนัสและโพโมนา ต่างกับเรื่องราวอื่นๆ ที่ได้เล่ามาก่อนหน้านี้ ตรงที่ว่า ทั้งสองมิใช่กรีก แต่เป็นเทพโรมัน โพโมนาเป็นนางไม้ซึ่งแตกต่างจากนางไม้ตนอื่นๆ ในขณะที่เพื่อนฝูงรักป่าเขาลำเนาไพร แต่นางกลับทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่สวนผลไม้ เป็นสาวชาวสวนที่เอาแต่ทำสวน จนไม่สนใจนเรื่องอื่น รวมถึงปิดกั้นตัวเองจากความรักด้วย เรียกว่า รักเดียวของโพโมนา คือต้นไม้ผลไม้เท่านั้น ชายใดก็ไม่อาจทำให้นางหวั่นไหว หันเหความสนใจออกไปจากผลไม้ได้ ทำให้ชายที่หลงรักนางเป็นอันต้องห่างหายไปหมด

เหลือเพียงเวอร์ทัมนัสเพียงผู้เดียว ที่บอกว่า นางเป็นรักแรก และจะเป็นรักสุดท้าย เขาจะไม่ยอมหนีหายไปไหน (โอ๊ยตายๆ ถ้าได้เจอใครพูดอย่างนี้ให้ได้ยินเข้าคงเคลิ้มนะคะ) แต่เวอร์ทัมนัสก็เหมือนชายอื่นๆ คือไม่ว่าจะทำยังไง โพโมนาก็ไม่เหลือบตาแล พี่แกเลยต้องใช้สารพัดวิธีเพื่อให้ได้เข้าใกล้นางอันเป็นที่รัก เช่น ปลอมตัวเป็นคนเก็บบาร์เลย์ เป็นชายปศุสัตว์ เป็นคนตัดเล็มเถาองุ่น ฯลฯ สารพัดจะทำ เพียงเพื่อให้ได้เห็นหน้าโพโมนาสักนิดหน่อยก็ดีใจ

แต่ความรักไม่เดินหน้าไปถึงไหน ว่าแล้ว เวอร์ทัมนัสเลยงัดแผนเด็ด ปลอมเป็นหญิงชรา กะว่าโพโมนาเห็นว่าไม่ใช่ผู้ชาย จะได้ตายใจ ซึ่งก็ได้ผลค่ะ เพราะพอมาในรูปลักษณ์หญิงเฒ่า ก็เข้าใกล้โพโมนาได้มากกว่าเดิม แต่พอได้เข้าถึงตัว เวอร์ทัมนัสดันทำแผนแตก เพราะอดใจไม่ไหว กระโดดกอดแม่สาวซะดื้อๆ จนโพโมนาเอะใจ

พอรู้ตัวว่าผิดแผน เวอร์ทัมนัสก็คงคิดว่า ต้องงัดไม้สุดท้ายมาเล่นกันแล้ว เลยนั่งลงข้างต้นเอล์ม ซึ่งมีเถาองุ่นพาดพันอยู่ แล้วพรรณาว่า มันจะสวยก็ต่อเมื่อได้อยู่ด้วยกัน หากองุ่นแยกจากเอล์มไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะเถาองุ่นที่เลื้อยราบกับพื้นจะไม่สามารถออกผล ในขณะที่โพโมนาก็เป็นเหมือนเถาองุ่น ที่เอาแต่หนีรักจากทุกคน แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีชายที่เฝ้ารักไม่คลายอยู่ตรงนี้ หากไม่มอบหัวใจให้คนที่รักจริงแล้วจะเสียใจนะเธอจ๋า

ว่าแล้วเวอร์ทัมนัสก็ถอดหน้ากากที่แปลงร่าง เปลี่ยนจากหญิงชรา เผยตัวว่าเป็นร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมา เอ๊ย ไม่ใช่หนังไทยสักหน่อย นี่ตำนานโรมันตะหาก ว่าแล้ว เวอร์ทัมนัสก็เผยตัวเอง เป็นหนุ่มรูปงาม แต่ที่สำคัญกว่า คือการแสดงความรักแท้ด้วยคารมคมคาย ทำเอาโพโมนาเคลิ้มเข้าจริงๆ และรับรักเวอร์ทัมนัส นับแต่นั้นมา สวนผลไม้ของโพโมนาก็กลายเป็นสวนแห่งรัก ที่ทั้งสองช่วยกันเป็นชาวสวนดูแลผลไม้ให้งอกงาม

รูปสลักเวอร์ทัมนัสและโพโมนา ในพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ตนี้ ศิลปินได้จับเอาตอนสำคัญที่สุดในเนื้อเรื่องมาสลักเสลาขึ้น คือเป็นตอนที่เวอร์ทัมมัสเผยโฉม ปลดหน้ากากหญิงชราให้โพโมนาเห็นความจริงว่าเขาคือชายที่เต็มไปด้วยแรงรัก โพโมนาผู้นั่งเปลือยอกอยู่ ทำท่าตกใจนิดๆ แต่ก็ถูกเวอร์ทัมนัสรั้งแขนไว้ และกล่าวคำหวานจนนางมอบรักตอบให้อย่างเต็มใจในที่สุด

และหากพูดถึงความรัก หลายท่านอาจจะถามหากามเทพ หรือคิวปิด แต่จะกล่าวถึงเฉพาะคิวปิดก็กระไรอยู่ เพราะเทพอีกองค์หนึ่งก็สำคัญไม่แพ้กัน คือ เฮเมน เทพแห่งการสมรส ว่าแล้ว เราเลยจะไปต่อกันที่รูปแกะสลัก คิวปิดจุดคบเพลิงของเฮเมน (Cupid Kindling the Torch of Hymen) ผลงานของ จอร์จ เรนเน่ (George Rennie) ที่ทำขึ้นมาในปี ค.ศ.1831



สำหรับคิวปิด คงแทบไม่ต้องกล่าวถึง เชื่อว่าแฟนานุแฟนทุกท่านคงรู้จักดี ส่วนเฮเมน อาจจะชื่อเสียงด้อยกว่าไปสักนิด เลยขอแนะนำกันสักเล็กน้อย

เดิมที เฮเมนเป็นหนุ่มรูปงามชาวเอเธนส์ แต่เขาเกิดจากตระกูลที่ต่ำต้อย ดังนั้น เมื่อโชคชะตาบันดาลให้ไปหลงรักลูกสาวคหบดีที่รวยที่สุดในเมือง เฮเมนก็เลยเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่กล้าพูด หรือแม้แต่จะเข้าใกล้เธอ เฮเมนได้แต่แอบตามสาวที่หมายตาไปทุกที่ รวมถึงปลอมตัวเป็นหญิงเพื่อเข้าร่วมขบวนของนางในพิธีทางศาสนา แต่โชคร้าย สาวๆ ในขบวนนี้ถูกผู้ร้ายดักจับตัวไป เฮเมนเลยพลอยฟ้าพลอยฝนโดนจับไปด้วย แต่ก็เพราะมีเฮเมนอยู่นี่แหละ กลุ่มที่ถูกจับเลยสามารถวางแผนตีตลบหลังโจร และเฮเมนก็กลายเป็นวีรบุรุษ ฆ่าโจรร้ายได้ในที่สุด

เรื่องก็เลยแฮปปี้เอนดิ้งซิคะ เฮเมนได้แต่งงานกับสาวที่หมายปอง และที่สำคัญกว่าการแต่งงานคือ ชีวิตสมรสของพวกเขามีความสุขล้น จนในที่สุด เฮเมนได้รับเกียรติอันสูงสุด ไม่ว่าใครจะจัดพิธีแต่งงานที่ไหน ก็จะเอ่ยชื่อเฮเมนในเชิงเป็นสัญลักษณ์ และในเวลาต่อมา เฮเมนก็กลายเป็นเทพแห่งพิธีการสมรส ที่มักจะแสดงตนเคียงคู่มากับคิวปิด และเชื่อกันว่า เฮเมนจะไปร่วมงานสมรสทุกแห่ง แต่ถ้ามีงานไหนที่เฮเมนไม่ได้ไป พิธีแต่งงานนั้นก็มักจะจบไม่สวย ดังนั้น แม้แต่เมื่อเทพกรีกจะอภิเสกสมรส ก็ยังต้องเชิญเฮเมนไปเป็นประธานในพิธีด้วย

ในงานศิลปะต่างๆ เฮเมนมักจะถูกนำเสนอในภาพของชายหนุ่มมีปีก สวมพวงมาลัยดอกไม้ และถือคบเพลิงเป็นสัญลักษณ์ สำหรับรูปสลักคิวปิดจุดคบเพลิงของเฮเมนในพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ตนี้ เป็นการแกะสลักให้เห็นเทพในลักษณะหนุ่มน้อย ๒ องค์ ยืนโอบกอดกันอยู่ในร่างเปลือยทั้งคู่ เฮเมนมีมาลัยดอกไม้บนเศียร ถือคบเพลิงอันเป็นสัญลักษณ์ หากคู่แต่งงานไหนได้ทั้งเฮเมน และคิวปิดไปร่วมงานแบบนี้ คงมีความสุขล้นเหลือเลยทีเดียวเชียวค่ะ

แต่...รักมีสมหวังด้านเดียวกระนั้นหรือ โลกเราคงไม่ได้กล่าวเช่นนั้น เพราะเราต่างรู้ดีว่า รัก มีทั้งด้านสุข และด้านทุกข์ วันนี้เลยขอหันไปหาอีกด้านหนึ่งของรักกันบ้าง แถมยังเป็นรักแปลกๆ คือ รักที่อกหัก อ่ะๆ ท่านผู้อ่านอาจจะท้วงว่า กะอีแค่อกหัก จะแปลกสักเท่าไหร่ ใครๆ ก็เคยอกหักกันทั้งน้านนนน...

แต่เรื่องนี้ แปลกจริงๆ ค่ะ เพราะตัวเอกของเรานั้น อกหัก จากการ “รักตัวเอง” นั่นแน่ แปลกหรือยังคะ และเขาไม่ใช่ใครอื่น แต่โด่งดังในนาม นาร์ซิสซัส (Narcissus)
นาร์ซิสซัส เป็นหนุ่มหล่อระดับที่เรียกว่า หล่อล้นเหลือ ไม่ว่าสาวไหนเห็นเป็นต้องหลงรัก แต่พ่อหนุ่มก็ไม่เคยสนใจใคร มีงานอดิเรกคือการหักอกสาวๆ เป็นว่าเล่น นาร์ซิสสัสนั้น ได้ชื่อว่าเป็นหนุ่มหล่อใจร้าย ผู้ดูแคลนความรัก และในที่สุดก็เจอดีเข้า เมื่อสาวที่อกหักเพราะเขาคนหนึ่งได้ไปอธิษฐานกับเทพว่า ขอให้คนที่ไม่รักใครอย่างนาร์ซิสซัสต้องตกหลุมรักตนเอง



งานนี้ เทพีเนเมสิส (Nemesis) ผู้ทรงธรรม เทพกัญญาแห่งการล้างแค้นต่อความผิดทั้งปวงได้รับคำอธิษฐานนี้ไว้ ดังนั้น เมื่อนาร์ซิสซัสได้ชะโงกตัวเหนือบ่อน้ำเพื่อดื่มน้ำ เขาได้มองเห็นเงาของตัวเอง และทันใดนั้น สิ่งที่ไม่เคยเกิดก็บังเกิดขึ้นในใจชายหนุ่ม นั่นคือ ความรัก

นาร์ซิสสัสหลงรักรูปเงาของตัวเองในทันใด ตอนนี้ เขาได้รู้ซึ้งแล้วว่า อกหักช้ำรักเป็นอย่างไรบ้าง นาร์ซิสสัสได้เข้าใจถึงรักที่มิอาจไขว่คว้า รูปงามในน้ำนั้นแม้จะอยู่ใกล้ แต่ห่างไกลจนเกินเอื้อม และที่สำคัญ นาร์ซิสสัสไม่อาจตัดใจจากความหลงรูปเงาของตัวเองได้ จึงอกหักตรอมตรมตายอยู่เหนือบ่อน้ำโดยไม่ยอมละสายตาจากรักเพียงรักเดียวของตน และตรงที่นาร์ซิสสัสสิ้นลม ก็เกิดกลายเป็นดอกไม้งามขึ้นมาแทน มันได้ชื่อว่า ดอกนาร์ซิสซัส ดอกไม้ที่สวยงามเหมือนเช่นตัวเขา
ผลงานแกะสลักนาร์ซิสซัสในพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ต ได้รับการจัดแสดงในห้องเลขที่ 50 เอ ซึ่งเป็นโถงใหญ่ ต่างจากผลงานอื่นๆ ที่แนะนำมาก่อนหน้านี้ ที่อยู่ในโถงทางเดิน ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า ทางพิพิธภัณฑ์ใช้หลักเกณฑ์อะไรในการจัดการแสดง แต่คาดเดาว่า เหตุผลที่รูปสลักนาร์ซิสซัสได้อยู่ที่ห้องโถงใหญ่ น่าจะเป็นเพราะอายุอานามใกล้เคียงกับผลงานอื่นๆ ในห้องเดียวกัน ซึ่งเก่าแก่กว่าผลงานในห้องหมายเลข 22 ที่ได้เล่ามา โดยผลงานนาร์ซิสซัสนี้ มาจาก ค.ศ.1560 และคาดว่าเป็นผลงานของศิลปินชาวอิตาเลียน นาม วาเลริโอ ซิโอลิ (Valerio Cioli)
และอาจจะเป็นเพราะความเก่า ทำให้รูปแกะสลักนี้มีร่องรอยผ่านกาลเวลามาพอสมควร ไม่ค่อยสวยสะอาดเหมือนรูปอื่นๆ แถมบางส่วนก็ยังหักออกไปด้วย ศิลปินได้แกะสลักให้นาร์ซิสสัสในร่างเปลือยจ้องมองลงไปด้านล่าง ซึ่งก็คือการมองรูปเงาตัวเองในน้ำ



สำหรับห้องโถงใหญ่ของพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ตนี้ ต้องบอกว่า แตกต่างจากพิพิธภัณฑ์อื่นๆ ที่เคยเจอเอามากๆ เพราะมีเบาะที่นอนให้ผู้มาชมได้นอนดูผลงานศิลปะกันสบายๆ ด้วยค่ะ ผู้คนก็มาเอกเขนกกันในห้องนี้พอสมควร เรียกว่า เดินกันมาเมื่อยแล้ว ก็สามารถมาแวะพักตรงนี้ พร้อมชื่นชมงานล้ำค่าระดับโลกได้
ถึงตรงนี้ ผู้เขียนต้องขออภัย ที่ใช้พื้นที่ไปมาก ในการพาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ต ในตอนแห่งปกรณัม แต่ดังได้กล่าวแล้วว่า อนุสรณ์แห่งรักของสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย และเจ้าชายอัลเบิร์ต ได้รังสรรค์ให้เกิดสิ่งงดงามอีกมาก ดังนั้น ในตอนหน้า จะขอพาทัวร์พิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ตอีกสักหน ด้วยการพาไปชมผลงานที่เกี่ยวกับศาสนา และความเชื่อ หลังจากนั้น เราจะไป “อัลเบิร์ตอนุสรณ์” ในที่อื่นๆ ของมหานครลอนดอนกันต่อค่ะ รับประกันว่า งดงามทุกแห่งหนแน่นอน
ก็เพราะรักนั้น แม้จะมีทั้งสุข และทุกข์ แต่รัก ย่อมสวยงามนิรันดร์เสมอไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผ่าตัดสมอง

ผ่าตัดสมองเหรอ...เรื่องเล็กน่า :)

เมื่อต้นปี 2559 เรามีอาการผิดปกติ เหมือนจะชัก เลยไปหาหมอ ตรวจพบว่า มีเนื้องอกในเยื่อหุ้มสมอง แต่ยังเป็นขนาดเล็ก และเนื้องอกประเภทนี้ ส่วนใหญ...