วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

อัลเบิร์ตอนุสรณ์ (2) พิพิธภัณฑ์แห่งศรัทธา // รีวิวิเที่ยวลอนดอน

อัลเบิร์ตอนุสรณ์ (2)
พิพิธภัณฑ์แห่งศรัทธา
                           
มาพบกันเป็นครั้งที่ 2 แล้วนะคะ สำหรับ "อัลเบิร์ตอนุสรณ์" ซึ่งผู้เขียนจะพาท่านผู้อ่านเยี่ยมชมเขตที่เรียกว่า เขตของอัลเบิร์ต (Albertopolis) ซึ่งตั้งตามพระนามของเจ้าชายอัลเบิร์ต (Prince Albert) พระสวามีที่รักยิ่งของสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย (Queen Victoria) แห่งอังกฤษ และในตอนนี้ เรายังไม่ได้ไปไหน แต่ยังคงวนเวียนอยู่ในพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ต (Victoria and Albert Museum) ที่ถนนเอ็กซิบิชั่น (Exhibition Road) ในมหานครลอนดอน

ตอนที่แล้ว เราได้เยี่ยมชมผลงานที่เกี่ยวกับปกรณัมกรีก-โรมัน ส่วนในคราวนี้ ผู้เขียนจะขอพาไปชมผลงานศิลปะเด่นๆ อันเกี่ยวกับศรัทธาทางศาสนา ซึ่งก็เป็นผลงานที่มีอยู่มากมายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้

ผลงานชิ้นแรกที่เราจะมาชมกัน คือ งานศิลปะที่ทำขึ้นเพื่อเทิดทูนพระแม่มารีย์ พระมารดาของพระคริสต์ โดยขอหยิบเอาช่วงเวลาที่จับใจที่สุดช่วงหนึ่ง คือ ช่วงแห่งมรณกรรม และการขึ้นสวรรค์ของพระแม่มานำเสนอกันค่ะ

ผลงานแรกคือ การสิ้นพระชนม์ของแม่พระผู้นิรมล (The Death of the Virgin) ผลงานแกะสลักจากไม้ ลงรักปิดทอง โดยศิลปินนิรนามจากเยอรมนี ที่อุตสะหะทำขึ้นในช่วงประมาณปี ค.ศ.1430-1440



ถึงตอนนี้ ต้องขอเล่าถึงช่วงเวลาสุดท้ายบนโลกมนุษย์ของพระแม่มารีย์กันก่อน ในช่วงหลังจากที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนจนสิ้นพระชนม์และขึ้นสวรรค์ไปนั้น พระนางทรงระทมทุกข์มาก แม้จะได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ที่พระเยซูได้เคยเสด็จไป แต่ก็ไม่คลายความว้าเหว่ ในที่สุด แม่พระได้อธิษฐานขอลาจากโลกนี้ไป พูดง่ายๆ คือ อธิษฐานขอความตายมาบรรเทาทุกข์ในใจนั่นเอง และหลังอธิษฐาน ทูตสวรรค์ได้มาปรากฎ แจ้งต่อพระนางว่า ภายใน 3 วันต่อจากนี้ พระแม่มารีย์จะได้ไปพบพระคริตส์บนสรวงสวรรค์


เมื่อทราบดังนี้ แม่พระได้แจ้งต่อเหล่าอัครสาวก และขอให้พวกท่านทั้งหมดมาชุมนุมกันเมื่อพระนางสิ้นพระชนม์ อัครสาวกทั้งหมดจึงมารวมตัวกัน ซึ่งในตอนนี้ เป็นช่วงเวลาที่ศิลปินหลายท่านได้รังสรรค์ผลงานศิลปะขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงที่เหล่าอัครสาวกมาชุมนุมกันรอบเตียงของแม่พระ โดยมีนักบุญปีเตอร์ (St.Peter) อยู่ที่หัวเตียง และนักบุญจอห์น (St.John) อยู่ที่ปลายเตียง เหมือนกับรูปสลักที่นำมาให้ชมกันในวันนี้

คืนนั้นเอง ที่พระเยซูเจ้าได้เสด็จมา เมื่อวิญญาณของพระแม่มารีย์ออกจากร่าง ก็ลอยเข้าสู่อ้อมพระกรของพระคริสต์ ซึ่งประคองดวงจิตพระมารดาสู่สวรรค์ ทิ้งร่างกายเอาไว้เบื้องล่างให้เหล่าอัครสาวกนำไปประกอบพิธีฝัง แต่ในเวลาต่อมา พระเยซูทรงมีบัญชาว่า ดวงวิญญาณและร่างของพระมารดาควรกลับมารวมกัน แล้วลอยขึ้นสวรรค์อีกครั้ง ซึ่งในตอนที่ร่างของแม่พระขึ้นสวรรค์นั้น นักบุญทอมัส (St.Thomas) หนึ่งในอัครสาวกไม่ได้อยู่เห็นเป็นพยานด้วย และนักบุญท่านนี้ เป็นคนช่างสงสัยค่ะ เมื่อไม่ได้เห็นกับตา จึงไม่ยอมเชื่อว่า ร่างของแม่พระได้ขึ้นสวรรค์ไปแล้ว

เพื่อเป็นการพิสูจน์ จึงได้มีการเปิดหลุมศพของพระแม่มารีย์ ทำให้นักบุญทอมัสได้เห็นกับตาว่า หลุมศพนั้นว่างเปล่า ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อนักบุญทอมัสแหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็ได้พบแม่พระ ซึ่งได้กระตุกสายคาดเอวของพระนางหย่อนลงมาให้เป็นหลักฐาน จึงทำให้นักบุญทอมัสได้เชื่อถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

ด้านพระแม่มารีย์บนสรวงสวรรค์ เรื่องราวสุดท้ายของพระนางคือเหตุการณ์ตอนที่พระเยซูได้สวมมงกุฎให้เป็นราชินีแห่งสวรรค์

ที่เล่ามาทั้้งหมดนี้ เพราะทุกตอนล้วนมีผลงานศิลปะชิ้นงามๆ ให้เราได้ชมกันในทุกช่วงเวลาของแม่พระค่ะ

ย้อนไปถึงผลงานที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ คือ งานแกะสลัก ทาสี ลงรักปิดทอง ว่าด้วยการสิ้นพระชนม์ของแม่พระผู้นิรมลในพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ตที่นำมาให้ชมกันนี้ เราจะได้เห็นพระแม่มารีย์เอนกายอยู่บนเตียง มีเหล่าอัครสาวกล้อมรอบ ส่วนใหญ่สวมใส่เสื้อผ้าสีเหลือบทอง ซึ่งทำให้เราได้เห็นฝีมือของศิลปิน ที่ปิดทองได้งามอร่าม แม้จะผ่านวันเวลามาหลายร้อยปีแล้ว แต่สีทองในผลงานนี้ก็ยังสวยเด่น

ในภาพ มีนักบุญปีเตอร์ยืนเป็นสง่าตรงหัวเตียงตรงตามพระคัมภีร์ แต่ที่เป็นจุดเด่นของผลงานนี้คือ มีพระเยซูอยู่ในเรื่องราวของรูปสลักนี้ด้วย โดยพระคริสต์ประทับยืนอยู่เหนือร่างของพระแม่ ยกพระหัตถ์ขึ้นอวยพรแก่พระมารดา ในขณะที่อัครสาวกอื่นๆ บ้างก็ร่ำไห้รำพัน บ้างก็เทกำยานเครื่องหอม

ผลงานนี้มีขนาดพอประมาณ คือสูง 81.5 เซ็นติเมตร กว้าง 170.2 เซ็นติเมตร โดยตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ต ห้องหมายเลข 50B ซึ่งเป็นห้องที่แสดงผลงานจากยุคกลางและสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (Medieval and Renaissance)

จากนั้นเรามาต่อกันที่ผลงานกระเบื้องเคลือบ ชื่อ การขึ้นสวรรค์ของแม่พระ (The Assumption of the Virgin) ฝีมือของ อันเดรีย เดลลา ร็อบเบีย (Andrea della Robbia) ซึ่งทำขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1486-1525 ในอิตาลี



ผลงานกระเบื้องชิ้นนี้ ใหญ่มากทีเดียวค่ะ ด้วยความสูง 190.3 เซ็นติเมตร กว้าง 180 เซ็นติเมตร หนักตั้ง 400 กิโลกรัม (รวมกรอบ) เดิมที ผลงานนี้ทำขึ้นเพื่อประดับแท่นบูชา แต่ตอนนี้มาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ต ห้องหมายเลข 50B เช่นเดียวกับรูปแรก เป็นผลงานกระเบื้องที่สวยงามตระการตามากทีเดียวค่ะ ด้วยสีขาวบริสุทธ์ประดุจความนิรมลของแม่พระ

ในผลงานนี้ นอกจากพระแม่มารีย์ที่ลอยอยู่กลางชิ้นงานแล้ว คนที่ทรุดตัวอยู่เบื้องล่างก็คือนักบุญทอมัสนั่นเองค่ะ เป็นช่วงที่พระแม่ได้สำแดงพระองค์ต่อนักบุญทอมัส และหย่อนสายคาดเอวของพระนางลงมาให้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า แม้ผลงานชิ้นนี้ดูเหมือนจะสวยสง่าสมบูรณ์ แต่ส่วนที่เป็นสายคาดเอวซึ่งเป็นจุดสำคัญของผลงานได้หายไปค่ะ แม้จะไม่ครบถ้วน แต่หากมองว่าผลงานนี้มีอายุตั้ง 5 ศตวรรษมาแล้ว แถมยังย้ายจากอิตาลีมาสู่อังกฤษ แล้วยังสวยสดได้ขนาดนี้ ก็ต้องชมศิลปินจริงๆ ว่าทำงานได้ยอดเยี่ยมมาก

ดังได้เล่ามาแล้วว่า หลังจากนี้ พระเยซูจะได้สวมมงกุฏราชินีแห่งสวรรค์ให้พระมารดา ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนค่ะว่า ในพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ตต้องมีผลงานศิลปะที่ได้แรงบันดาลใจมาจากช่วงสวมมงกุฏด้วยแน่นอน ซึ่งผู้เขียนเลือกเอาผลงานชื่อ การประกาศราชินีภิเษกของแม่พระ (The Annunciation and Coronation of the Virgin) ในห้องจัดแสดงเลขที่ 9 มานำเสนอกันค่ะ



ผลงานนี้ มีขนาดค่อนข้างเล็ก คือสูงแค่ 26.8 เซ็นติเมตร กว้าง 16 เซ็นติเมตร หนัก 0.6 กิโลกรัม หรือเบาะๆ แค่ 6 ขีด ถือว่าเล็กไหมคะ แต่ที่ผู้เขียนเลือกเอาผลงานนี้มานำเสนอ แม้จะเป็นผลงานที่เล็กเอาการ ก็เพราะความอลังการของผลงานค่ะ ก็ที่เล็กนั้น เพราะเป็นผลงานที่ทำจากงาช้าง ลงรักปิดทอง สร้างขึ้นราวปี ค.ศ.1360-1370 ที่เวนิช และเป็นที่น่าเสียดายที่ไม่ทราบชื่อศิลปิน สันนิษฐานว่า ผลงานนี้ จำลองย่อส่วนมาจากงานศิลปะเหนือประตูทางเข้าโบสถ์เซนต์มาร์ค (St.Mark's Basilica) เป็นภาพในตอนที่พระเยซูสวมมงกุฏให้พระมารดา เพื่อให้เป็นราชีนีแห่งสวรรค์ งานแกะสลักงาช้างชิ้นนี้ เล็กแต่ปราณีต เรียกได้ว่าจิ๋วแต่แจ๋ว

ผลงานนี้ ทำออกมาเป็นลักษณ์ 3 ชิ้นงาน 3 บานติดกัน ด้วยสีขาวพิสุทธ์อีกเช่นเคย บานตรงกลางแกะสลักเป็นพระเยซูและพระแม่มารีย์ โดยมีเหล่าเทพเล่นดนตรีอยู่ด้านหลัง ส่วนบานด้านข้างที่เป็นปีก ได้แกะสลักพยานแห่งพิธีราชินีภิเษกนี้ ประกอบด้วยอัครเทวทูตไมเคิล (Archangel Michael) นักบุญจอห์น แบปทิสต์ (St.John the Baptist) นักบุญจอร์จ (St.George) นักบุญจอห์นผู้เขียนพระวรสาร (St.John the Evangelist) ฯลฯ เรียกว่า เป็นผลงานศิลปะชิ้นเล็กแต่อัดแน่นด้วยเรื่องราวและรายละเอียดมากมายจริงๆ  

เมื่อได้กล่าวถึงพระแม่มารีย์ไปแล้ว ก็มาถึงเรื่องราวของพระบุตรกันบ้าง ผู้เขียนขอนำเสนอผลงานกระเบื้องเคลือบอีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นผลงานที่ผู้เขียนชอบมากที่สุดเป็นการส่วนตัว เนื่องจากมีสีสันสดใส ดูแล้วสบายตา สบายใจ นั่นคือผลงาน การนมัสการของพวกโหราจารย์ (The Adoration of the Magi) ฝีมือของ อันเดรีย เดลลา ร็อบเบีย คนเดียวกับที่ทำผลงานการขึ้นสวรรค์ของพระแม่ ที่กล่าวถึงมาก่อนหน้านี้เองค่ะ โดยเป็นผลงานที่สร้างขึ้นในต้นคริสตศตวรรษที่ 16 มีขนาดสูง 221.7 เซ็นติเมตร กว้าง 184 เซ็นติเมตร หนักตั้ง 582 กิโลกรัม (รวมกรอบ) เรียกว่าใหญ่โตใช่เล่น 



เดิมที ผลงานนี้ใช้ประดับแท่นบูชาอยู่ที่อิตาลี แต่ตอนนี้ จัดแสดงในห้องหมายเลข 50B ในพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ต แต่ก่อนจะว่ากันถึงผลงานกระเบื้องเคลือบชั้นเยี่ยมนี้ ขอเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนี้ก่อน นั่นคือ หลังจากพระคริสต์ประสูติแล้ว ในตอนนั้น ได้มีนักปราชญ์ 3 คนจากตะวันออก เดินทางมากรุงเยรูซาเล็ม เพื่อตามหาพระผู้กำเนิดมาเป็นกษัตริย์แห่งยิว โดยโหราจารย์ทั้ง 3 ได้เดินทางตามการนำทางของดวงดาวมาเรื่อยๆ สู่เมืองเบทเลเฮม ที่ๆ โหราจารย์ได้พบกับพระแม่มารีย์และพระกุมาร

พวกเขาคุกเข่าลงนมัสการพระมหาไถ่ และมอบของขวัญคือทองคำ กำยาน และมดยอบ โดยการมาเยือนของโหราจารย์นี้ ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญในคริสตศาสนา เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่พระเยซูทรงสำแดงพระองค์ต่อคนต่างศาสนา เป็นสัญญาณว่า ในอนาคต พระองค์จะได้เป็นผู้นำในการเผยแพร่คริสตศาสนาสู่ทุกแว่นแคว้น ทุกชาติ ทุกวัย ซึ่งก็สื่อออกมาโดยโหราจารย์ทั้งสาม คือ แคสปาร์ (Caspar) เมลคิออร์ (Melchior) และบัลทาซาร์ (Balthasar) ซึ่งในงานศิลปะ จะนำเสนอทั้ง 3 ท่านในรูปลักษณ์ของวัยหนุ่ม วัยกลางคน และวัยชรา รวมถึง 1 ใน 3 ของโหราจารย์ จะมีผู้หนึ่งที่มีผิวดำด้วย

ทั้งหมดนี้ บ่งบอกถึงการที่คนทุกวัย ทุกสีผิว ได้มาเฝ้าพระกุมารเยซู ในขณะที่เครื่องบรรณาการก็มีความหมายว่า ทองคำหมายถึงกษัตริย์ กำยานหมายถึงพระเป็นเจ้า มดยอบหมายถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู รวมความแล้วเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง พลัง การนมันสการ และการอุทิศตัวแด่พระคริสต์

สำหรับผลงานกระเบื้องของอันเดรีย เดลลา ร็อบเบียนี้ นอกจากจะนำเสนอในรูปแบบของสีสันที่สดใสแล้ว ยังแตกต่างจากผลงานของศิลปินอื่นๆ ที่มักนำเสนอช่วงเวลาเดียวกันนี้ กล่าวคือ ในหลายๆ ผลงานที่เล่าเรื่อง การนมัสการของพวกโหราจารย์มักจะเรียบง่าย มีเพียงภาพของพระแม่มารีย์ พระเยซู และโหราจารย์ทั้ง 3 แต่ในผลงานกระเบื้องของร็อบเบียนี้ ได้มีนักบุญโจเซฟ (St.Joseph) พระสวามีของพระแม่ยืนอยู่เบื้องหลังพระแม่มารีย์ด้วย ในขณะที่กลุ่มของโหราจารย์ก็ไม่ได้มีเพียง 3 ท่าน แต่มีคณะร่วมขบวนมาอีกเยอะทีเดียว

ต้องขอนอกเรื่องสักเล็กน้อยว่า ตอนที่ผู้เขียนไปแหงนคอมองภาพนี้ ก็ยืนชมอยู่นานสองนาน เพราะรู้สึกถึงสีสัน ที่แม้จะผ่านกาลเวลามาหลายร้อยปี แต่ภาพนี้ยังสดใส อาจจะเช่นเดียวกับวันเก่า ที่ร็อบเบียได้ทำผลงานอันเต็มไปด้วยศรัทธานี้ขึ้น และหากพิจารณาดูจะเห็นว่า มีสีเขียวหลายแห่งในผลงานนี้ โดยเฉพาะที่เสื้อผ้าของโหราจารย์ทั้ง 3 เนื่องจากสีเขียว เป็นสีที่ใช้ในเทศกาลสมโภชพระคริสต์แสดงองค์ ในขณะที่พระแม่มารีย์ ทรงภูษาสีน้ำเงิน อันเป็นสัญลักษณ์ของความรักแห่งสวรรค์ และเป็นสีประจำตัวของของพระแม่ด้วย ผลงานกระเบื้องที่เต็มไปด้วยสีสันนี้ จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่สีที่สดสวย แต่ศิลปินได้เลือกแล้ว ที่จะใช้สีอันเป็นสัญลักษณ์สำคัญต่างๆ  

สำหรับพระคริสต์เอง ผลงานที่ศิลปินต่างๆ นิยมสร้างสรรค์กันมากที่สุดช่วงหนึ่ง เห็นจะเป็นช่วงพระทรมานของพระคริสต์ (Christ's Passion) อันเป็นช่วงสุดท้ายของพระชนม์ชีพบนโลกมนุษย์ พระทรมานเริ่มแต่เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มไปจนถึงการตรึงกางเขน สิ้นพระชนม์ และพิธีฝังพระศพ ซึ่งมักจะปรากฎในงานศิลปะจำนวนมาก ซึ่งสื่อออกมาถึงแต่ละช่วงเวลาที่เกิดขึ้น ต้องดูหลายภาพจึงจะเห็นภาพรวมทั้งหมดของพระทรมาน แต่ผลงานที่จะนำมาให้ชมกันวันนี้ เป็นอีกหนึ่งผลงานศิลปะที่จิ๋วแต่แจ๋วอีกชิ้นหนึ่ง เป็นผลงานเล็กๆ ชิ้นเดียว ที่รวมเอาเหตุการณ์พระทรมาน ไปจนถึงเสด็จสู่วรรค์มารวมกันไว้ทั้งหมด ในงานแกะสลักงาช้าง ชื่อ พระทรมานของพระคริสต์ (The Passion of Chris) จากการสลักเสลาของศิลปินนิรนามจากปารีส ฝรั่งเศส คาดว่าสลักขึ้นในช่วงประมาณปี ค.ศ.1270 ปัจจุบันจัดแสดงในห้องหมายเลข 9 หมวดผลงานของยุคกลาง และสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ของพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ต



ผลงานนี้ต้องบอกว่า ยอดเยี่ยมกระเทียมดองจริงๆ ค่ะ ด้วยความสูงเพียง 32.1 เซ็นติเมตร กว้าง 23.4 เซ็นติเมตร หนัก 1.08 กิโลกรัม ทำออกมาในลักษณะเป็นบานขนาดเล็ก 2 บาน มีผลงานแกะสลัก 6 ช่อง ดูเผินๆ เหมือนจะเป็น 6 เหตุการณ์ในพระทรมาน แต่อันที่จริง ละเอียดกว่านั้นค่ะ แต่ละช่องที่เห็น ยังแบ่งออกเป็นช่องละ 3 เหตุการณ์ รวมทั้งหมดของผลงานเล็กๆ นี้ มีเหตุการณ์รวมกันถึง 18 เหตุการณ์ คนที่ทำขึ้น คงต้องเต็มไปด้วยศรัทธามากจริงๆ

          บอกตามตรงว่า ดูทีแรก ผู้เขียนออกจะ งงๆ ไม่รู้ว่า ควรจะมองตรงไหนก่อน เท่าที่เห็นจุดเด่นที่พอจะดึงดูดสายตา คือตรงกลางของช่องที่ 2 ทางขวา ที่เห็นเป็นพระเยซูถูกตรึงกางเขน แต่เมื่อได้อ่านจากเอกสารของพิพิธภัณฑ์แล้ว ก็พบว่า จริงๆ ต้องเริ่มดูภาพนี้ตั้งแต่มุมซ้ายล่าง เริ่มจากที่เราเห็นการแกะสลักเป็นชายสองคนทำงุบงิบ ยื่นของให้กัน นั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น จูดาส อิคาริออต (Judas Iscariot) สาวกผู้ทรยศต่อพระเยซู ด้วยเงินเพียง 30 เหรียญ แลกกับการที่จะช่วยชี้ตัวพระคริสต์ให้พวกมหาสมณะ (หรือทหาร) ตามด้วยรูปถัดมาในช่องเดียวกัน คือตอนที่จูดาสจุมพิตพระเยซู เพื่อส่งสัญญาณให้พวกที่ว่าจ้างมาได้ทราบว่า นี่และ คือผู้ที่ต้องการตามหา แต่สุดท้าย จูดาสเองก็ไม่อาจทนอยู่กับความผิดของตัวเอง จึงผูกคอตาย ซึ่งปรากฎในภาพที่ 3 ของช่องแรก เรียกว่า ช่องแรก (กรอบล่างสุดทางซ้าย) จึงเป็นเรื่องราวของจูดาสล้วนๆ

หลังจากนั้น ต้องส่งสายตามองต่อไปทางขวา ช่องล่างสุดทางขวา ภาพแรก เป็นเหตุการณ์ที่ฝ่ายศัตรูได้พบ และจับกุมพระเยซูไป และปรักปรำว่าพระองค์มีความผิด ก่อนจะพาพระเยซูไปเข้าพบข้าหลวงโรมัน นาม ปอนตีอุส ปีลาเต (Pilate) อันที่จริง ปีลาเตดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากลงโทษพระเยซู แต่ไม่อาจต้านทานกลุ่มมหาสมณะได้ ดังนั้น แม้ปิลาเตอยากจะปล่อยพระคริสต์ไป แต่ก็ถูกยุยงให้ลงโทษพระองค์ด้วยการตรึงกางเขน ซึ่งงานนี้ ปีลาเตที่คงไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี เลยตัดสินใจเอาเอาน้ำล้างมือต่อหน้ามหาชน และกล่าวว่า "เราไม่มีมลทินจากบุรุษผู้นี้ พวกท่านจงรับภาระไปเถิด" ซึ่งเป็นภาพที่ 2 ในช่องนี้ ก่อนจะนำไปสู่ภาพที่ 3 ที่มีการส่งพระเยซูไปให้ทหารเฆี่ยนตี

          ถึงตอนนี้ คนที่ดูภาพก็คงจะชักงงแล้ว ว่าจะดูตรงไหนต่อ ก็ต้องใช้วิธีการไหลไปเรื่อยๆ ค่ะ คือจากภาพขวาสุดของรูปล่างขวาแล้ว ก็มองต่อขึ้นข้างบน ไปสู่ช่องกลางของบานขวา แล้วเริ่มดูเนื้อเรื่องจากภาพขวาไล่มาทางซ้าย สลับกับกับทิศทางการดูของกรอบด้านล่างสุด ทีนี้ เราจะได้เห็นตอนที่พระองค์เยซูทรงถูกบังคับให้แบกไม้กางเขนไปยังคัลวารี ต่อด้วยภาพที่พระองค์ถูกตรึงกางเขนจนสิ้นพระชนม์ ตามมาด้วยภาพของการอัญเชิญพระศพลงจากไม้กางเขน

จากนั้นก็ไปต่อที่ช่องกลางด้านปีกซ้าย ที่ต้องมองมาจากขวาไปซ้ายอีก เป็นภาพการจัดการฝังพระศพในคูหาที่สกัดเข้าไปในศิลา ต่อด้วยภาพกลาง เป็นเหตุการณ์ที่ทรงฟื้นคืนพระชนม์ ซึ่งในงานศิลปะมักให้มีธงที่ประกาศการฟื้นคืนพระชนม์อยู่ในพระหัตถ์เช่นที่เห็นในภาพนี้ หลังจากนั้น ภาพสุดท้ายในช่องนี้ คือภาพที่พระเยซูได้เสด็จลงไปเมืองนรก ในพระหัตถ์ยังคงมีธงแห่งการฟื้นคืนพระชนม์ เป็นการประกาศชัยชนะของพระองค์เหนือความตาย และเราจะได้เห็นผู้รับเสด็จพระองค์ในนรกด้วย ซึ่งในตำราบอกว่า น่าจะเป็นอาดัมกับอีฟ มนุษย์ 2 คนแรกของโลกที่อยู่ในนรกนั่นเอง

ต่อจากนี้ ก็ไหลไปอีกค่ะ ด้วยการมองขึ้นไปกรอบช่องบนซ้าย แล้วดูจากซ้ายไปขวา ภาพแรกซ้ายสุดเป็นตอนนี้เหล่าสตรี ซึ่งนำโดยมารีย์ แมกดาลีน (Mary Magdalene) มาที่พระคูหา และได้รับแจ้งจากเทวทูตว่าพระคริสต์ฟื้นคืนชนม์ชีพแล้ว บางตำราก็บอกว่า ทีแรก มารีย์ แมกดาลีนเห็นว่าหินปิดปากพระคูหาเคลื่อนออกไป และเมื่อเข้าไปในพระคูหาก็ตกใจว่าพระศพหาย แต่ก็พบเทวทูตที่บอกว่าพระคริสต์ฟื้นคืนชีพต่างหาก กระนั้น มารีย์ก็ยังร้องไห้คร่ำครวญ แต่พระคริสต์ก็ทรงมาประจักษ์ สำแดงพระองค์ต่อนาง (ภาพกลาง) และสำแดงพระองค์สาวกอื่นๆ ในภาพต่อมา

อย่างไรก็ตาม ในการสำแดงพระองค์ของพระคริสต์นั้น นักบุญทอมัส หนึ่งในอัครสาวกไม่ได้อยู่ร่วมเหตุการณ์ด้วย เมื่อท่านกลับมาอีกที แม้จะมีผู้บอกข่าวว่า พระคริสต์กลับมาสำแดงพระองค์แล้ว แต่นักบุญทอมัสก็ไม่ยอมเชื่อ กล่าวว่า "หากไม่ได้เห็นรอยตะปูบนฝ่าพระหัตถ์ ไม่ได้เอานิ้วแหย่เข้าไปในรอยนั้น และไม่ได้เอามือสอดเข้าไปในสีข้างของพระองค์ ข้าก็ไม่มีวันเชื่อ"

อีกหลายวันต่อมา เมื่อพระเยซูมาสำแดงพระองค์อีก ทรงตรัสกับนักบุญทอมัสว่า "จงยื่นนิ้วมาที่นี่และดูมือของเรา จงเอามือสอดเข้าไปในสีข้างของเรา อย่าขาดความศรัทธาเชื่อมั่น แต่จงเชื่อเถิด" ซึ่งเป็นภาพแรกในช่องขวาบนสุดค่ะ

นักบุญทอมัสท่านนี้ คุ้นๆ ไหมคะ ก็ในเวลาต่อมา ท่านก็ยังเป็นอัครสาวกขี้สงสัย ที่ไม่เชื่อเรื่องที่ร่างและวิญญาณของพระแม่มารีย์ขึ้นสู่สวรรค์ จนพระแม่ต้องสำแดงพระองค์ และให้สายรัดเอวตามที่ได้เล่ามาตอนต้นๆ แล้วค่ะ

หลังจากทำให้นักบุญทอมัสเชื่อแล้ว พระเยซูได้นำเหล่าสาวกไปเบทานี ทรงลอยขึ้นสวรรค์ดังภาพกลางของช่องบนขวาและกลายเป็นพระผู้บริสุทธ์ในภาพสุดท้าย
เห็นไหมคะ ผลงานแกะสลักงาช้างชิ้นนี้ จิ๋วแจ๋วแจ่มจริงๆ แม้จะเล็กกระจ้อย แต่รวมเอาเหตุการณ์ช่วงท้ายของพระชนม์ชีพของพระบุตร ไปจนถึงขึ้นสวรรค์ไว้อย่างครบถ้วน แต่เวลาดูภาพนี้ ก็ต้องเพ่งอยู่เหมือนกันค่ะ ยอมรับเลยว่าดูยาก เพราะขนาดที่เล็ก และเบียดอัดกันหลายเหตุการณ์ในแต่ละช่อง แต่ก็ต้องคาราวะผู้แกะสลักนิรนามคนนี้จริงๆ เพราะทั้งสวย และเต็มไปด้วยเรื่องราวแบบเต็มเหยียด

และไหนๆ ก็ได้กล่าวถึงพระทรมานของพระคริสต์มาเยอะ เลยต้องขอนำเสนอผลงานที่น่าสนใจมากอีกผลงานหนึ่ง คือ การคร่ำครวญเหนือพระศพ (The Lamentation over the Dead Christ) ผลงานกระเบื้องเคลือบของ อันเดรีย เดลลา ร็อบเบีย อีกแล้วค่ะ ทำขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1510-1515 ตอนนี้จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ต ห้องเลขที่ 26 (ทำไปทำมา ผู้เขียนชักหลงรัก อันเดรีย เดลลา ร็อบเบีย เสียแล้วค่ะ โอกาสหน้าถ้าคุณประลองพล บรรณาธิการผู้ดูแลต้นฉบับจะกรุณาให้พื้นที่หน้ากระดาษอันแสนแพงอีก ผู้เขียนจะพยายามนำผลงานอื่นๆ ของร็อบเบียมาให้ได้ชมกันอีก)



งานนี้ ต่างจากงานอื่นของร็อบเบียที่นำเสนอมาก่อนหน้านี้ ที่เป็นเครื่องประดับแท่นบูชาแบบมีกรอบ แต่ผลงานล่าสุดที่กล่าวถึงนี้ เป็นผลงานกระเบื้องเกือบลอยตัวขนาดใหญ่ทีเดียว คือ ลึก 67 เซ็นติเมตร กว้าง 152 เซ็นติเมตร สูง 87 เซ็นติเมตร

ที่บอกว่า เกือบลอยตัว ก็เพราะผลงานนี้ ด้านหลังไม่ได้ทำให้เรียบร้อยค่ะ น่าจะต้องนำไปแปะไว้กับกำแพงถึงจะสวยหมดจด แต่พอแกะผลงานออกมาตั้งแสดงไว้แบบลอยตัวนี้ ก็ทำให้เห็นงานที่สมบูรณ์เฉพาะด้านหน้าและด้านข้าง เป็นเหตุการณ์ในช่วงที่นำพระศพลงมาจากกางเขนแล้ว และพระแม่มารีย์ ในภูษาสีน้ำเงินประจำพระองค์ พร้อมด้วยนักบุญจอห์นผู้เขียนพระวรสาร  และมารีย์ แมกดาลีน กำลังเศร้าเสียใจกับการจากไปของพระคริสต์ เป็นอีกผลงานหนึ่งที่สีสันสดสวยตามสไตล์ของร็อบเบียค่ะ

เหตุการณ์ช่วงนี้ จะว่าไป เป็นช่วงที่ถือว่าโด่งดัง และเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินสร้างสรรค์ผลงานในเวลานี้กันมากมาย ทั้งภาพวาด แกะสลัก ฯลฯ ซึ่งบ่อยครั้งที่นิยมจะเรียกภาพเหตุการณ์ตอนนี้ว่า ปีเอตา (Pieta) ซึ่งคำนี้เป็นภาษาอิตาเลียน หมายถึง ความเวทนา ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เรียกผลงานศิลปะที่แสดงเรื่องราวตอนที่พระแม่มารีย์ประคองร่างพระคริสต์หลังสิ้นพระชนม์ไว้ในอ้อมแขน

หากพิจารณารูปผลงานนี้ ท่านผู้อ่านคงจะได้เห็นว่า สีสันของผลงานเป็นแบบไม่สม่ำเสมอ คือ เฉพาะพระเยซู พระแม่มารีย์ และนักบุญจอห์นผู้เขียนพระวรสารเท่านั้นที่มีสีสดใส แววมัน ในขณะที่มารีย์ แมกดาลีน กลับสีซีดกว่าเยอะ นั่นเป็นเพราะในตอนที่ทำผลงานนั้น ได้มีการแยกส่วนออกเป็น 5 ชิ้นงาน และเมื่อนำแต่ละชิ้นเข้าเตาเผาครั้งแรก ก็เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน ส่วนของมารีย์ แมกดาลีนเกิดบวมปริ อันเนื่องมาจากมีอากาศเข้าไปในดินที่ปั้น ซึ่งการปรินี้เอง ทำให้ไม่สามารถเคลือบสีและนำเข้าไปเผาครั้งที่สองให้สวยสดได้ จึงมีเพียงการระบายสีแทน และเมื่อเวลาผ่านไป มารีย์ แมกดาลีนก็ “ซีด” ลงเรื่อยจนสีจางอย่างที่เห็น แต่ก็ยังถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกอยู่ดี

อันที่จริง ยังมีผลงานศิลปะที่เกี่ยวกับพระแม่มารีย์ และพระเยซูอยู่อีกมาก แต่เนื่องจากใช้พื้นที่มาพอประมาณแล้ว ผู้เขียนเลยต้องขอย้ายไปเยี่ยมชมผลงานอื่นๆ อันเกี่ยวเนื่องกับศรัทธาอีกเช่นกัน โดยขอนำเสนอนักบุญปีเตอร์ (St.Peter) ค่ะ ผลงานรูปแกะสลักจากไม้โอ๊คของศิลปินนิรนามจากเนเธอแลนด์นี้ มีความสูง 119.5 เซ็นติเมตร กว้าง 55 เซ็นติเมตร ลึก 41 เซ็นติเมตร ก็ถือว่า ใหญ่พอประมาณนะคะ คาดว่า ทำขึ้นราวๆ ปี ค.ศ.1520 ปัจจุบัน จัดแสดงในห้องหมายเลข 50B ของพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ต



นักบุญปีเตอร์ ถือเป็นนักบุญสำคัญ เป็นอัครสาวกที่สนิทสนมมากกับพระเยซู ท่านเป็นประหนึ่งตัวแทนของเหล่าอัครสาวก เดิมท่านเป็นชาวประมงในกาลิลี และกำลังทอดแหอยู่ในตอนที่พระเยซูเสด็จมาถึง และตรัสว่า "จงตามเรามา เราจะตั้งให้เจ้าเป็นชาวประมงผู้ทอดแหจับมนุษย์" ว่าแล้ว ชาวประมงของเราก็เลิกทอดแห และตามเสด็จพระเยซูไป

ครั้งหนึ่ง พระเยซูตรัสกับนักบุญปีเตอร์ว่า "ประตูนรกจะไม่มีวันเอาชนะศาสนาจักรได้ เราขอมอบกุญแจแห่งอาณาจักรสวรรค์แด่เจ้า" ในงานศิลปะต่างๆ รวมถึงที่นำมาให้ชมกันนี้ จึงมักมีกุญแจประตูสวรรค์อยู่ในมือของท่าน

ในช่วงท้ายของชีวิต ท่านก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกตรึงกางเขน แต่เป็นการตรึงกางเขนที่แปลกประหลาดกว่าคนอื่นๆ คือ ตรึงกางเขนแบบกลับหัว ซึ่งเป็นไปตามประสงค์ของท่าน เพราะคิดว่าเป็นการไม่บังควรที่จะตายในลักษณะเดียวกับพระเยซูเจ้า

จากนั้น ขอพาท่านผู้อ่านไปพบกับนักบุญอีกท่าน เป็นนักบุญหญิง คือ นักบุญมาร์กาเรต (St.Margaret) ท่านมีชีวิตอยู่ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 3 เป็นสาวงามที่เลื่องลือ จนข้าหลวงของเมืองเกิดหลงรัก และขอแต่งงานกันนาง แต่มาร์กาเรตตอบปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว พร้อมประกาศว่า ได้อุทิศชีวิตให้พระเยซูไปแล้ว ข้าหลวงที่หน้ามืดตามัวจึงลงทัณฑ์นาง มาร์กาเรตถูกจับไปขังคุก และที่นั่น พญามารได้มาปรากฎตัวในร่างของมังกรไฟ แต่มาร์กาเรตก็หาได้หวาดกลัวไม่ เธอคุกเข่าลง สวดมนต์ และทำเครื่องหมายกางเขน



มังกรร้ายเห็นดังนั้น ก็กลืนร่างของนางลงไป แต่ตอนนั้นเอง เครื่องหมายกางเขนที่เธอทำก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนร่างมังกรแยกออกเป็น 2 เสี่ยง มาร์กาเรตที่หลุดออกมาจากท้องมังกรได้ กลายเป็นคนสำคัญ ทำให้มีผู้คนศรัทธา มานับถือศาสนาคริสต์ตามเป็นจำนวนมาก ก็ยิ่งทำให้ข้าหลวงโกรธจัดมากขึ้น และสั่งประหารชีวิตนาง

มาร์กาเรตผู้เป็นมรณสักขี ได้รับการยกย่องเป็นนักบุญในเวลาต่อมา และในตอนก่อนถูกประหาร นางนึกถึงตอนที่รอดออกมาจากท้องมังกร จึงอธิษฐานขอให้หญิงที่กำลังจะคลอดบุตรไม่ต้องทนทรมานในการคลอด หากรำลึกถึงเธอ นักบุญมาร์กาเรตจึงได้ชื่อว่าเป็นนักบุญผู้พิทักษ์หญิงที่กำลังคลอดบุตร

ในงานศิลปะต่างๆ นักบุญมาร์กาเรตมักจะปรากฎในลักษณะของหญิงสาวผู้ปราบมังกร เช่นในผลงานชื่อ นักบุญมาร์กาเรตกับมังกร (St.Margaret and the Dragon) ที่นำมาให้ชมกันในวันนี้ เป็นผลงานที่มีต้นกำเนิดมาจากฝรั่งเศส จากประมาณปี ค.ศ.1530-1540 ทำจากหินแกะสลัก สูง 113 เซ็นติเมตร กว้าง 46.8 เซ็นติเมตร ลึก 33 เซ็นติเมตร จัดแสดงอยู่ในห้องเลขที่ 50B พิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ต

อันที่จริง ผู้เขียนยังได้เดินชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อีกหลายห้อง เช่น ห้องที่เกี่ยวกับเอเชีย ห้องเฟอร์นิเจอร์อันโด่งดัง ฯลฯ แต่ด้วยหน้ากระดาษที่จำกัด ทำให้ยังไม่สามารถนำเสนอได้ จึงต้องขอจบตอนนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน และจะมาพาท่านผู้อ่านไปเยือนอนุสรณ์ของเจ้าชายอัลเบิร์ตกันต่ออีกครั้งในตอนหน้า แล้วพบกันใหม่นะคะ สวัสดีค่ะ

หมายเหตุ - เรื่องนี้ ลงตีพิมพ์ในนิตยสาร ต่วย'ตูน ฉบับเดือนมีนาคม 2559 โดยผู้เขียนได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาที่บางกอกโพสต์ให้เขียนเพื่อเป็นการระลึกถึง "คุณวาทิน ปิ่นเฉลียว" หรือ "ลุงต่วย" อดีตบรรณาธิการ ผู้ก่อตั้งนิตยสาร ต่วย'ตูน พิเศษ ใช่ช่วงที่คุณลุงท่านเสียชีวิต เลยเขียนเรื่องชุดนี้ขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงคุณลุงผู้เป็นแรงบันดาลใจให้ได้ออกไปเที่ยวรอบโลกค่ะ

สำหรับตอนที่ 1 ดูได้ที่
https://kungmee.blogspot.com/2017/11/1.html








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผ่าตัดสมอง

ผ่าตัดสมองเหรอ...เรื่องเล็กน่า :)

เมื่อต้นปี 2559 เรามีอาการผิดปกติ เหมือนจะชัก เลยไปหาหมอ ตรวจพบว่า มีเนื้องอกในเยื่อหุ้มสมอง แต่ยังเป็นขนาดเล็ก และเนื้องอกประเภทนี้ ส่วนใหญ...