วันพุธที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560

ผ่าตัดสมองเหรอ...เรื่องเล็กน่า :)

เมื่อต้นปี 2559 เรามีอาการผิดปกติ เหมือนจะชัก เลยไปหาหมอ ตรวจพบว่า มีเนื้องอกในเยื่อหุ้มสมอง แต่ยังเป็นขนาดเล็ก และเนื้องอกประเภทนี้ ส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีผลกระทบกับชีวิต เพราะมันมักจะโตช้ามาก หมอก็เลยให้รอดูไปเรื่อยๆ ก่อน และนัดว่า อีก 6 เดือนให้มาสแกนสมองอีกที




แต่เพียงแค่ 5 เดือน เราเริ่มมองเห็นภาพซ้อน เลยรีบไปหาหมอก่อนหมอนัด พบว่า ไอ้เจ้าเนื้องอกที่ปกติไม่ค่อยเติบโต ดันโตวันโตคืน (หรือเรารดน้ำมากไปหน่อย..เฮ้ย...ไม่ใช่ต้นไม้นา) 

และความที่เนื้องอกมันโตเร็วผิดปกติ หมอก็เริ่มกังวลว่า มันจะแปลงร่างได้ (อืมม์ มันอาจเป็นไอ้มดแดง ถึงแปลงร่างได้) คือ แปลงร่างจากเนื้องอกธรรมดา เป็นมะเร็งสมอง และที่สำคัญคือ การมองเห็นภาพซ้อน ยังไงก็ต้องแก้ไข ดังนั้น ก็เลยนัดผ่าตัดกันอย่างด่วนๆ ไม่ต้องคิดเยอะ เพราะเนื้องอกที่ว่า มันไปเบียดบังประสาทในส่วนของการมองเห็น หากปล่อยไว้ จะทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ 

งานนี้รีบ แต่แม้จะรีบแล้ว ก็ยังต้องเตรียมตัวอยู่นานราว 2 สัปดาห์ เพื่อกิน "ยากันชัก" เอาไว้ก่อน "ยากันชัก" ที่ว่านี้ ไม่ใช่กันชักดาบ ไม่จ่ายหนี้หมอ แต่เมื่อมีการไปแตะสมอง ก็อาจทำให้เกิดการชัก อันเป็นอาการไม่พึงประสงค์ ซึ่งก็ไม่รู้จะเกิดขึ้นหรือเปล่า แต่เพื่อป้องกันไว้ก่อน ก็เลยต้องกินเตรียมไว้ แต่จะกินยาในปริมาณมากไว้เลยแต่แรกก็ไม่ได้ เลยต้องกินเริ่มต้นทีละน้อย แล้วเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ จนมากพอที่จะผ่าตัดได้ภายใน 2 สัปดาห์ แต่ระหว่างนั้น จะมีผลกระทบคือ ง่วงนอน เบื่ออาหาร แต่พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ยาทำอะไรเราไม่ได้เลย อาการเบื่ออาหารเกิดขึ้นเพียงแป๊บเดียวก็หายไป เรายังคงกินได้กินดี อ้วนพีเช่นเคย ส่วนผลข้างเคียงอีกอย่างคือ ง่วงนอน ก็เกิดขึ้นบ้าง ประกอบกับตามองไม่ค่อยเห็นแล้ว และที่สำคัญ จองตั๋วไปหลวงพระบางเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ก็เลยตัดสินใจไปไหว้พระทุกวัดที่หลวงพระบางเท่าที่จะเดินไหว ไปๆ มาๆ ก็ไหว้ไปได้ 22 วัด ก่อนจะกลับมาเข้าโรงพยาบาล (เดี๋ยวจะกลับมาเล่าเรื่องเที่ยวหลวงพระบางทีหลัง)

กลับจากหลวงพระบาง เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็โทรตามด้วยน้ำเสียงตกใจว่า โทรตามหลายรอบแล้ว แต่เราไม่รับสาย (เพราะมัวไปอยู่ลาว) จนทางโรงพยาบาลคิดว่าคนไข้จะหนีการผ่าตัดเสียแล้ว แต่ในที่สุดก็เข้าโรงพยาบาลตามกำหนด คือเข้าไปก่อนผ่าตัด 1 วัน เพื่อตรวจทุกระบบอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการ MRI สแกนสมองอีกรอบ เช็คปอด หัวใจ ตับ เซ่งจี้ (เอ๊ย ผิดล่ะ) อ้อ ต้องตรวจเอดส์ด้วย ผ่านนะฮะ 555 

เมื่อพร้อมทุกอย่างก็รอกระบวนการ ไอ้เราก็คิดว่า เราคงตื่นเต้นคนเดียว ที่ไหนได้ ที่บ้านเราก็ตื่นเต้นพอกัน เพราะระหว่างที่เราตรวจโน่นตรวจนี่ ก็มีพวงมาลัย ผลไม้ มาเตรียมไหว้ศาล ไหว้เจ้าที่กันพรั่งพร้อม




ถึงวันผ่าตัด ทีแรกคิดว่า คงจะคิดมากจนเครียด ที่ไหนได้ ไม่มีเวลาให้คิด เพราะพอเช้ามา คุณพยาบาลก็มาโกนหัวแบบทุลักทุเล เพราะเครื่องมือไม่เป็นใจ เครื่องโกนไฟฟ้าดันชำรุด ต้องใช้มีดโกน โกนกันไปทีละหน่อย ในขณะที่เจ้าหน้าที่ห้องผ่าตัดก็มาเร่ง เพราะห้องผ่าตัดพร้อมแล้ว เจ้าหน้าที่ห้องผ่าตัดเอายากล่อมประสาทมาให้กิน แต่ก็ยังกินไม่ได้ เพราะถ้ากินก็เท่ากับจะเริ่มง่วง แต่เรายังง่วงไม่ได้ เพราะยังโกนหัวได้ไปไม่ถึงครึ่ง ก็รีบโกนแบบลุ้นกันตลอดเวลาว่าจะเสร็จทันไหม เพราะห้องผ่าตัดเองก็มีเวลาว่างแบบจำกัด คนอื่นเขาก็รอผ่าต่อจากเราอยู่ เรียกว่า เร่งโกนกันยิ่งกว่าการซิ่งของรถเมล์สาย 8 เสียอีก

กว่าจะโกนเสร็จ ปาเข้าไปเกือบชั่วโมง คนจากห้องผ่าตัดก็จะให้กินยา แต่พยาบาลที่โกนหัวก็บอกว่า ไม่ได้ ต้องอาบน้ำก่อน เพราะตัวเลอะไปหมด เส้นผมเปรอะเต็มตัว เดี๋ยวคันแย่ เลยต้องรีบไปอาบน้ำ ไม่ทันได้ตั้งตัวเลยว่าหัวโล้นไปแล้ว แล้วก็รีบออกมาใส่ชุดสีเขียวแบบที่เป็นชุดที่เปิดจากด้านหลังของห้องผ่าตัด ทีนี้ก็ได้เวลากินยากล่อมประสาท แล้วก็ถูกเข็นไปห้องผ่าตัดอย่างเร็ว ตอนนั้นก็นึกอะไรไม่ออก เคยตั้งใจว่าจะสวดมนต์ก่อนเข้าห้องผ่าตัด ก็ปรากฎว่า ไม่มีเวลา เพราะทุกอย่างรีบไปหมด พอถึงห้องผ่าตัด ก็ถูกยกตัวขึ้นเตียง มีเจ้าหน้าที่ผู้ชายมาถอดเสื้อผ้าออก ขนาดว่าจะเขิน ยังไม่มีเวลาให้เขินเลย เพราะทุกอย่างเร็วมาก ว่าแล้ว พ่อหนุ่มก็ติดอุปกรณ์อะไรไม่รู้เต็มตัวไปหมด แล้ววิสัญญีแพทย์ก็เข้ามาถามว่า เอ คนไข้ผิดคนหรือเปล่า เพราะอ่านจากประวัติว่า ผู้ป่วยหนัก 84 กิโลกรัม แต่หมอดูแล้ว เราน่าจะหนักประมาณ 70 กิโลกรัมได้ เราเลยบอกหมอว่า ถูกแล้วค่ะๆ หนูหนัก 80 กว่าจริงๆ หมอเลยเดินมาจับที่ไหล่ แล้วบอกว่า เออ ใช่ กระดูกใหญ่มาก ไม่ผิดตัวล่ะ ว่าแล้วก็หัวเราะกันลั่นทั้งห้องผ่าตัด ก่อนที่หมอจะเอาที่ครอบมาครอบปาก-จมูก ก่อนจะหลับไป ได้ยินเสียงแว่วๆ ว่า หมอที่เป็นผู้ผ่าตัดเข้ามา วิสัญญีแพทย์ถามว่า เคสนี้ยากไหม และหมอผ่าตัดตอบว่า เหมือนแคะขนมครก แล้วความรู้สึกทั้งหมดก็ดับวูบลง




เรารู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งในห้อง ICU มีคนรายล้อมเต็มตัวไปหมด จำได้ประมาณว่า ว่า มีพยาบาลใส่ผ้าอ้อมให้ ส่วนด้านบนมีคนใส่อุปกรณ์เครื่องวัดต่างๆ เครื่องช่วยหายใจ แล้วก็มีคนถามว่าชื่ออะไร พอเราตอบชื่อออกไป ก็รู้สึกตัวว่า เจ็บมาก ที่หลังหัว แถมตัวสั่นตลอดเวลาแบบควบคุมไม่ได้ สั่นอย่างไม่เคยสั่นมาก่อน พยายามทำตัวเองให้หยุดสั่น แต่ก็ทำไม่ได้ ตอนนั้นคิดว่า ตายล่ะ การผ่าตัดผิดพลาดแน่เลย นี่กระมัง คืออาการ "ชัก" ที่หมอบอก ถ้าเราชักแหง็กๆ ขนาดนี้ เราคงไม่รอด วันนี้คงต้องตายแหงๆ แย่จริงๆ ที่ต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เสียแล้ว เกิดมาชาตินี้ อายุไม่ถึง 50 ก็ต้องเดทสะมอเร่ ที่สำคัญ เจ็บอย่างไม่เคยเจ็บมาก่อน เลยพยายามจะบอกพยาบาลว่า เจ็บ...เจ็บมาก พยาบาลก็บอกว่า ห้ามพูด เพราะกล่องเสียงยังอักเสบอยู่ จากการที่เพิ่งถอดอุปกรณ์ออกไปจากคอ แต่เราก็ยังอยากบอกว่าเจ็บมากจริงๆ พยาบาลก็บอกว่า กำลังจะฉีดยาแก้ปวดให้ ในขณะเดียวกัน ก็เอาผ้าห่มแบบที่มีลมร้อนมาห่มให้ด้วย

มารู้ทีหลังว่า ที่เราสั่น เพราะในตอนผ่าตัด หมอทำให้อุณหภูมิในห้องผ่าตัดเย็นจัดมาก เพื่อลดการเสียเลือด ตอนออกมา เราเลยหนาวมาก และสั่น ไม่ใช่ชัก เมื่อได้ผ่าห่มที่มีลมร้อน การสั่นก็ค่อยๆ ลดลง ส่วนการเจ็บ หมอก็ปล่อยให้เจ็บแผล เพื่อให้รู้ตัวเต็มที่หลังผ่าตัด เมื่อรู้ตัวเต็มที่แล้ว ถึงให้ยาแก้ปวด กว่าจะเข้าที่เข้าทาง หายปวด หายสั่น ก็คิดว่า ตายชัวร์ไปพักใหญ่ๆ แล้ว (โอ ถ้าใครแช่งให้ตาย ก็ขอโทษที ที่ดันรอดจนได้)

 เราอยู่ห้อง ICU ราว 24 ชั่วโมง เพื่อรอดูอาการ ระหว่างนั้น เมื่อยมาก เพราะต้องนอนตะแคงตลอดเวลา เนื่องจากที่ด้านหลังหัวข้างซ้ายมีแผลขนาดใหญ่อยู่ เป็นแผลผ่าตัดที่หมอเปิดกะโหลก เอาเนื้องอกออกไป ระหว่างนั้นก็งงๆ เพราะรู้สึกมีของเหลวไหลออกมาจากหลายส่วนของหัว เช่น ที่หน้าผาก และด้านข้างๆ ของหัว มารู้ทีหลังว่า มีเลือดไหล จากการที่หมอขันน็อตไว้ที่กลางกระหม่อม และด้านข้างๆ หัว เพื่อให้หัวนิ่งอยู่กับที่ระหว่างผ่าตัด จนถึงตอนนี้ ก็ยังมีแผลเป็นเล็กๆ ที่กลางหน้าผาก

อ้อ ในห้อง ICU เขามีกฎ ห้ามถ่ายรูป แต่เราคิดว่า มันไม่ถูกต้องนัก เพราะเราไม่ได้ให้คนที่บ้านมาโรงพยาบาลในวันผ่าตัดวันแรก เพราะไม่อยากให้มานั่งรอกันหน้าห้องผ่าตัด มันเครียดกันไปเปล่าๆ เลยพาคนมาด้วยเพียงคนเดียว และเราคิดว่า ในฐานะที่เราเป็นผู้ป่วย เราน่าจะอนุญาตให้ผู้ติดตามถ่ายรูปได้ เพราะเราก็อยากส่งรูปไปให้ทุกคนในครอบครัวเห็น ว่าการผ่าตัดสมองเรียบร้อย เรายังยิ้มออก และเรามีญาติอยู่ต่างประเทศ ที่กำลังสวดมนต์ให้เราอยู่ด้วย ก็อยากบอกว่าฟื้นตัวแล้ว แต่ถึงกระนั้น กฎอันเข้มงวด ก็ทำให้เราถ่ายรูปไม่ได้ 

ระหว่างที่อยู่ ICU พยาบาลเดินมาถามชื่ออยู่เรื่อยๆ ประหนึ่งกลัวเราจะความจำเสื่อม พร้อมทั้งพยายามถามว่า เรามองเห็นหรือไม่ เพราะก่อนผ่าตัด อัตราการมองเห็นของเราต่ำ เราก็บอกพยาบาลไปว่า มองไม่เห็น พยาบาลตกใจกันแทบทุกคน คงนึกว่าการผ่าตัดล้มเหลว ที่ไหนได้ เปล่าหรอก เรามองไม่เห็น เพราะเราไม่มีแว่นตาต่างหาก 55 เราใส่เครื่องช่วยหายใจที่คล้องสายไว้กับหู ทำให้ใส่แว่นตาไม่ได้ และแว่นตาเองก็อยู่บนห้องพัก ไม่ได้เอามาที่ห้องผ่าตัดด้วย ก็เลยมองไม่เห็น (สายตาสั้น 800 กว่า) ทำให้พยาบาลแทบทุกคนที่มาเช็คการมองเห็นของเราหงายเงิบกลับไป โถ ไม่ได้อยากแกล้งเลย แต่ไม่มีแว่นตา ก็มองไม่เห็นน่ะซิ จะให้ตอบยังไงล่ะ

พอครบ 24 ชั่วโมง ได้ออกจาก ICU ถึงได้รู้ตัวเองว่า นอกจากแผลที่หลังหัว ยังมีสายห้อยออกมาจากแผล มีกระปุกอยู่ปลายสาย เป็นสายที่หมอต่อออกมาจากแผล เพื่อให้เลือดที่ยังคั่งในสมองไหลออกมาให้หมอ พูดง่ายๆ คือ มีสายห้อยออกมาจากหัว มีเลือดไหลอยู่ตลอดเวลา ปลายสายเป็นกระปุกเล็กๆ รองรับเลือดที่ไหลออกมา ใครใจอ่อนมาเห็นเราตอนนี้ อาจจะเป็นลมได้ โดยเฉพาะตอนที่ลุกไปห้องน้ำ และต้องหิ้วกระปุกเลือดที่ห้อยจากหัวไปด้วย ดูสยองมาก แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากผ่าตัดได้ 2 วัน หมอก็เอาสายนี้ออก




หลังจากนั้น เราก็เถิดเทิง เดินว่อนไปว่อนมา จนคุณพยาบาลคงอ่อนใจ ต้องเอาป้ายมาติดว่า ห้ามลุกจากเตียง แต่ก็ห้ามเราไม่ได้หรอก เราก็ลุกไปลุกมา เป็นผู้ป่วยที่ฟื้นตัวได้รวดเร็ว ไม่มีอาการข้างเคียงใดๆ ไม่เหมือนคนผ่าตัดสมอง เหมือนแต่มานอนเล่นโรงพยาบาลเฉยๆ ระหว่างนั้น เพื่อให้แน่ใจว่า สมองไม่เพี้ยน ก็เล่น Sudoku วันละเกม

นอนโรงพยาบาลได้ 8 คืน หมอก็ให้กลับบ้าน และให้พักงาน 3-4 สัปดาห์ แต่เอาเข้าจริง พักสัปดาห์เดียว เราก็ไปทำงานแล้ว เพราะรู้สึกสบายดี แถมหัวโล่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน (ก็ไม่มีผมนี่นา) คนที่ไม่รู้ ส่วนใหญ่นึกว่า เราลาไปบวชชีมา นี่ถ้ามีบาตรอีกอัน ก็รับสมอ้างได้เลย

หลังผ่าตัด หมอยังให้กินยากันชักต่อ ซึ่งต้องกินให้ครบ 6 เดือน 

ย้อนไปก่อนที่จะผ่าตัด เนื่องจากไม่แน่ใจอะไรหลายอย่าง และเห็นหลายคนที่ผ่าตัดสมองไม่ฟื้น หรือฟื้นมาแล้วความจำหายไป ก็เลยได้ส่งข้อความบอกญาติสนิท มิตรสาย เพื่อขอขมาในสิ่งที่ผ่านมา เผื่อว่า จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว เราคิดว่า แม้จะไม่อยากให้เหตุร้ายเกิดขึ้น แต่เราต้องกล้าหาญพอที่จะเตรียมรับทุกสถานการณ์อย่างมั่นคง ที่สำคัญ ได้ตรวจกรมธรรม์ประกันชีวิต ถึงได้รู้ตัวเองว่า มีอยู่มากถึง 17 กรมธรรม์ ไม่รวมกับของที่ทำงานอีก เรียกว่า ถ้าตายขึ้นมา ทายาทเปรมอุราเลยทีเดียว แต่เนื่องจากกรมธรรม์ต่างๆ ทำเอาไว้ในหลายๆ กรณี หลายช่วงเวลา ทำให้ชื่อผู้รับผลประโยชน์มีหลากหลาย บางคนอยู่ต่างประเทศ ก็เลยไปทำเรื่องเปลี่ยนแปลงเป็นคนที่อยู่เมืองไทยให้หมด พร้อมทำพินัยกรรมเป็นที่เรียบร้อยก่อนเข้าโรงพยาบาล เรียกว่า เตรียมตัวพร้อมจริงๆ แต่เมื่อฟื้นตัวมาได้ ก็ซอรี่ เสียใจด้วย เงินกลับคืนสู่ข้าพเจ้าเองทุกบาททุกสตางค์ ไม่มีใครได้ไปเลย ขอใช้เองต่อจนแก่ชราเลยว่างั้นเหอะ

สรุปว่า การผ่าตัดสมองผ่านไปได้ด้วยดี 
แต่เมื่อครบปี ไปสแกนมองอีกรอบ อ้าว เฮ้ย ทีนี้ มีน้ำคั่งในโพรงสมอง แถมยังเกิดอาการทางสมองที่ทำให้สั่น (สั่นแต่ก็สั่นสู้นะฮะ) เอาว่ะ งานนี้ ต้องสู้กันต่อไป ไม่มีวันยอมแพ้ และเมื่อโชคชะตามาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ขอใช้ชีวิตให้คุ้ม กิน เที่ยว (และไม่ลืมที่จะไปหาหมอบ่อยๆ) บล็อคนี้ นอกจากจะเป็นบล็อคที่จะเล่าเรื่องการป่วยทางสมองแล้ว ก็เลยจะเป็นบล็อคเกี่ยวกับการกิน การเที่ยวด้วย 

ป่วยก็ได้ แต่ชีวิตก็ต้องใช้ให้เบิกบานนะฮะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผ่าตัดสมอง

ผ่าตัดสมองเหรอ...เรื่องเล็กน่า :)

เมื่อต้นปี 2559 เรามีอาการผิดปกติ เหมือนจะชัก เลยไปหาหมอ ตรวจพบว่า มีเนื้องอกในเยื่อหุ้มสมอง แต่ยังเป็นขนาดเล็ก และเนื้องอกประเภทนี้ ส่วนใหญ...