อันนี้ เราบอกได้จากประสบการณ์ของตัวเอง เพราะตอนที่อ้วนมากๆ ไม่ว่าใครพูดยังไง ก็จะตอบว่า แหมเธอ ฉันแค่กระดูกใหญ่ ว่าแล้วก็ตะลุยบุฟเฟ่ต์ต่อไปไม่มียั้ง
ครั้นกว่าจะคิดได้อีกที โห น้ำหนัก ปาเข้าไป "5 โลร้อย" (ก็ 95 นั่นแหละ) แถมบางที แม่ค้าใจดีแถมให้ เหลือ 3 โลร้อยอีกต่างหาก เลยรู้สึกตัว และพยายามลดน้ำหนัก แต่ก็ไม่ได้ผลสักที
จนได้เจอนักโภชนาการของโรงพยาบาลรามคำแหง ที่มาให้คำแนะนำ (ฟรี เพราะเราเข้าไปผ่าตัด แล้วทางโรงพยาบาลเห็นว่าน้ำหนักเกิน เลยส่งโภชนาการมาคุยตอนรอผ่าตัด ต้องชมว่าเป็นบริการที่ดีมากๆ)
ว่าแล้ว เราก็เริ่มกระบวนการ ที่ง่ายมากๆ และเชื่อว่า ทุกคนทำตามได้ แต่ก่อนจะบอกวิธี มาดูพัฒนาการกันก่อนว่าเป็นยังไง
จากวันโน้น ถึงวันนี้
มาถึงตอนที่ใช้สูตรลดน้ำหนักของโรงพยาบาลรามคำแหงได้ 3 เดือน น้ำหนักลดไปพรวดๆ กลายเป็นแบบนี้ (อ้อ ไม่ได้ออกกำลังกายเลยนะ จัดการเรื่องการกินใหม่ล้วนๆ ตอนนั้น น้ำหนักลดลงไปได้ประมาณ 5 กิโลกรัม)
ว่าแล้ว ก็เดินหน้า ลดต่อมาเรื่อยๆ ภาพล่างนี้ เป็นตอนที่ไปผ่าต้อกระจก เมื่อไม่นานมานี้ ก็ผอมลงไปได้ราวๆ 10-15 กิโลกรัมแล้ว
ต่อมาช่วงไปเที่ยวอังกฤษ กินนมเนย เพลินไปหน่อย น้ำหนักขึ้นมา 3 กิโลกรัมได้ แต่ก็ยังสบายๆ และพอกลับกรุงเทพฯ ก็มาเข้าโปรแกรมต่อ ตอนนี้ ก็ลดลงมาได้แล้ว
ถึงเวลาเฉลย ว่าทำไมลดน้ำหนักได้เยอะ โดยไม่ได้ออกกำลังกาย คือ จัดการอาหาร 3 มื้อ (หรือจะว่าไปคือ 4 มื้อ)
1.มื้อเช้า กินข้าว หรืออะไรที่เป็นคาร์โบไฮเดรต เต็มที่ 1 อิ่ม (ร่างกาย ขาดคาร์โบไฮเดรต ไม่ได้นะคะ)
2.มื้อกลางวัน อะไรก็ได้ที่ไม่มี คาร์โบไฮเดรต เพราะในแต่ละวัน กินคาร์โบไฮเดรต ได้หนเดียว ดังนั้น กลางวันเลือกเป็นโปรตีน หรือสลัด (วันไหนเกิดอยากไฮโซ ก็เดินเข้าร้านสเต็ก หรือปลาดิบ อะไรแบบนี้ ไม่ยอมอด 55)
2.5. อาจจะเรียกว่า มื้อเสริม คือ นม หรือผลไม้ (ห้ามเกินวันละ 2 ถุง) เพื่อไม่ให้ตอนเย็นหิวเกินไป ซึ่งช่วงแรกๆ มื้อนี้สำคัญมาก แต่ระยะหลังๆ ก็งดมื้อนี้ได้แล้ว
3.มื้อเย็น อันนี้สำคัญ อย่าได้กินมันเลย แต่จะไม่กินก็ไม่ได้ เพราะต้องกินยา ดังนั้น มื้อเย็น ให้เป็นอะไรที่ไม่มีเนื้อไม่มีหนังให้มากที่สุด เช่น ซุปไข่ ก็คือน้ำซุปจากการต้มแกงจืดต่างๆ ตักเฉพาะน้ำซุปมา แล้วตอกไข่ใส่ไปฟองนึง (ไข่กินได้ทุกวัน) หรือเปลี่ยนเมนู เป็น น้ำมะเขือเทศขนาด 0.5 ลิตร หรือน้ำเต้าหู้ อะไรก็ได้ ที่ออกแนวนี้
อ้อ อีกอย่างที่ไม่เกี่ยวกับอาหาร แต่เกี่ยวกับเครื่องดื่ม คือ เลิกดื่มพวกน้ำหวานทุกประเภท รวมทั้งกาแฟ ก็สั่งแบบไม่หวานเท่านั้น (ไม่หวานคือ ไม่มีความหวานเลยนะคะ ไม่ใช่หวานน้อย)
ทำมาแล้ว เห็นผลแล้ว ภายในปีนึง ลดน้ำหนักไป 15 กิโลแล้ว โดยไม่ได้ออกกำลังกายแม้แต่น้อย (ออกกำลังกายไม่ได้ เพราะระยะที่เริ่มลดน้ำหนัก เป็นช่วงหลังผ่าตัดสมอง)
ตอนนี้ หมอบอกว่า ขอให้ลดต่ออีกนิด ก็ยังพยายามอยู่ แต่ก็กลับมากินบุฟเฟ่ต์บ้าง เพื่อสีสันของชีวิต แต่ถ้ากินเยอะวันไหน วันต่อไปก็พยายามลดคาร์โบไฮเดรตทันที น้ำหนักก็มักจะกลับคืนมาภายใน 2 วัน เรียกว่า แม้จะลดน้ำหนัก แต่ก็กินได้สบายๆ ไม่เดือดร้อน ไม่ยอมอด อยากกินต้องได้กิน แต่กินให้พอดี และมื้อเย็น ต้องงดของหนักให้ได้ แค่นี้ การลดน้ำหนักก็ไม่ยากอีกต่อไป
มาลองกันดูน๊าาาา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น