ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา (2560) ในขณะที่กำลังทำงาน เตรียมการประชุม เรารู้สึกว่า "ตัวสั่น" (เอ ไม่รู้เหมือนกันว่า เหมือนกับเวลาที่เขาด่าทอกันว่า "ตัวสั่นระริกระรี้" อะไรแบบนี้หรือเปล่า) แต่รู้ตัวว่า อีกไม่กี่นาที จะไม่ไหวแน่แล้ว เลยเกิดเหตุการณ์น่าขำขึ้น คือ คนเข้าประชุมก็มาแล้ว ไอ้เราก็นั่งรอจะประชุมแล้ว แต่ตัดสินใจลุกขึ้น แล้วเดินออกไปเลย
เดินออกไปได้ไม่ไกล ก็ไปทรุดอยู่หน้าห้องแอดมิน และมีคนช่วยประคองไปห้องพยาบาล อาการ "ระริกระรี้" กลับหนักขึ้นเรื่อยๆ เราตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ในขณะที่ความดันพุ่งสูงปริ๊ดไปที่ 191 ทำให้หมออาจจะคิดว่าเป็นโรคที่ชื่อว่า โรควิตกกังวล หรือโรคแพนิค (Panic disorder) ซึ่งอาจจะเกิดอาการสั่น และความดันสูงได้ หากเครียดด้วยเรื่องต่างๆ แต่ในกรณีของเรา ไม่ได้เป็นแบบนั้น ประการแรก เราไม่ได้เครียด (ก็ยังไม่ได้ประชุมเลย 555) ประการที่ 2 หากเป็นโรคแพนิค จะต้องชีพจร "ระรัว" ด้วย ในขณะที่ชีพจรเราปกติมากๆ (เออ ถ้าทั้ง ระริกระรี้ แถมยัง ระรัวอีก คงต้องต่อด้วย ระวัง...ไป - ไม่รู้เหมือนกันว่าไปไหน อาจจะไปจากโลกนี้กระมัง)
หลังจากตัวสั่นรุนแรง อาการก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนเหลือสั่นน้อยๆ และเมื่อพอจะไหว ก็รีบกลับบ้านไปพัก ด้วยอาการหมดเรี่ยวแรง คงจะสั่นเป็นเจ้าเข้าเยอะไปหน่อย จนแรงหมด (พวกเจ้าเข้านี่ เขาเหนื่อยกันบ้างไหมนะ)
เราไปหาหมอที่รักษาอาการทางสมองให้เราเป็นประจำอยู่แล้ว ท่านไม่ได้ทำท่าตกใจอะไรเลย เพราะอาการสั่น เกิดขึ้นได้กับคนที่มีอาการทางสมองบางอย่าง แต่ยังไงก็ตาม มันมักจะเกิดกับคนอายุ 60-70 ปีขึ้นไป ในขณะที่เรายังอายุไม่ถึง 47 ปี ก็กลับมีอาการเหมือนคนแก่วัยเกษียณเสียแล้ว
หมอให้สแกนสมองด้วย MRI ทีนี้ ยาววววว เลย เพราะพบสิ่งที่ซ่อนอยู่ในสมองอีกอย่าง คือ มีน้ำคั่งในโพรงสมอง หรือ Hydrocephalus ไอ๊หยา มันจะอะไรกันนักกันหนาฟ่ะเนี่ย
ปกติ คนทั่วไป มีความดันของน้ำในสมองประมาณ 30 และถ้าเมื่อไหร่ที่มันถึง 42 แสดงว่า ผิดปกติเข้าขั้น และส่วนใหญ่จะรักษาด้วยการผ่าเพื่อใส่สายระบายน้ำออกจากสมอง ในขณะที่ค่าความดันน้ำในสมองของเรา ปาเข้าไป 58 (นี่ไง พวกชอบอะไรเยอะๆ ไว้ก่อน)
อันที่จริง ค่าที่ 58 ก็ต้องผ่าแล้ว แต่หมอบอกว่า ขอรอต่อไปอีก 6 เดือน เนื่องจากเพิ่งผ่าตัดเปิดสมองไปไม่ถึงปี หมอไม่อยากเปิดเข้าไปดูสมองอันยึกยัก และมีรอยหยักน้อยของเราบ่อยเกินไป เพราะมันอาจจะมีผลกระทบอันไม่น่าพิสมัย และอีกอย่างก็คือ แม้ตัวเลขความดันของน้ำในสมองของเราจะสูงปริ๊ด พอๆ กับความดันทุรังของเรา แต่เรายังไม่ปรากฎอาการที่ควรจะเกิด
ไอ้ภาวะน้ำคั่งในโพรงสมองนี่ ก็เหมือนอาการสั่น คือ มักจะเกิดกับคนอายุ 60-70 และมีผลทำให้เดินเซ ความจำเสื่อม ในขณะที่เราอายุยังไม่มาก และยังไม่ได้เดินเซ หรือความจำเสื่อมแต่ประการใด (แต่ถ้าลืมใช้หนี้ใคร แสดงว่า ลืมจริงๆ ไม่ได้แกล้งลืมเพราะป่วย แต่เท่าที่จำได้ ไม่เคยติดหนี้ใคร ถ้ามีขอให้บอก)
แต่ไม่ว่าอย่างไร สรุปว่า เราเกิดอาการ แก่ฉับพลันในวันเดียว!
อยู่ๆ จากคนอายุยังไม่ครบ 47 ปี ที่ดูภายนอก ดูจะแข็งแรงโคตรๆ แต่ภายในสมอง เราเป็นคนแก่วัยเกษียณคนนึง
ถามหมอว่า ในเมื่อความดันของน้ำในสมองของเราปาเข้าไปที่ 58 แล้ว หมอจะให้ทำยังไงต่อ หมอบอกว่า ให้มีคนอยู่ด้วยตลอดเวลา เพราะอาจเซล้มเมื่อไหร่ก็ได้ (อ้าว หมอ แล้วงี้ ตอนไหนไม่มีคนอยู่ด้วยก็มิต้องไปหาทางเกาะใครๆ ไว้ก่อนเหรอ เอาเป็นว่า ถ้าเจอคนหน้าตาดีๆ แล้วพี่เกิดเซไปหา ก็อย่าตกใจ ไม่ได้อยากกระแซะ แต่พี่ป่วย 555)
อีกอย่างคือ ให้สังเกตว่า ความจำเสื่อมหรือยัง
"ห่ะ หมอ แล้วจะไปรู้ตัวเองได้ไงล่ะ" เราถามหมอเสียงดัง
"ก็นี่ไง คุณถึงต้องมีคนอยู่ข้างๆ เสมอ แล้วคอยสังเกต ว่าความจำคุณเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า" หมอบอกยิ้มๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติมาก
สรุปว่า จากนี้ ห้ามอยู่คนเดียว
และหากเซหนัก หรือความจำเปลี่ยนหนัก ให้รีบใส่รองเท้ากีฬา วิ่งไปหาหมอทันใด (เอ หรือขับรถไปจะง่ายกว่า)
ตอนนี้ อาการเซ เริ่มเกิดขึ้น เราเดินเซแทบทุกวัน วันละหนสองหน บางทีก็เซล้มลงไปเลย แต่เหมือนพระเจ้าเข้าข้าง พอเซล้มทีไร มักจะล้มลงไปบนที่ที่มีของรองรับ เช่น เก้าอี้ โซฟา เตียง เลยไม่เคยหัวฟาด หรือบาดเจ็บ แต่มันก็ต้องระวังกันไป
ส่วนความจำ บอกไม่ถูก คิดเอาเองว่า ยังดีอยู่
หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เดือนธันวาคม หมอจะตัดสินใจอีกที ว่าจะผ่าเพื่อระบายน้ำออกจากสมองไหม
กลัวไหม?
ไม่กลัวหรอก ผ่าสมองคราวก่อน ผ่าใหญ่กว่านี้ ก็รอดมาเดินปร๋อได้ หากต้องผ่าอีกทีจะเป็นไร
เอาเป็นว่า เรื่องน้ำในสมอง รอไปก่อน ส่วนเรื่องอาการสั่น อันนี้่ต้องหาหมอทุกเดือน เพราะถือเป็นอีกโรคหนึ่ง เรียกว่า Action Tremor
ไอ้ Action Tremor มันเป็นพี่น้องกับพาร์กินสัน แต่ต่างกันที่ พาร์กินสันจะสั่นเมื่ออยู่เฉยๆ แต่ Action Tremor จะสั่นเมื่อทำกิจกรรม และกิจกรรมที่ทำให้สั่นได้มากที่สุด (อาจจะเป็นเพราะทำบ่อยที่สุด) คือ มือสั่นขณะกินอาหาร ทำให้ตักอาหารไม่ได้ เราเคยตักอาการไป ช้อนสั่นกระทบชามดังกริ๊กๆ ไปตลอด หรือเคยใช้ตะเกียบแล้วคีบอาหารไม่ได้ แต่เรื่องนี้ ไม่มีวันยอมแพ้เด็ดขาด เรื่องกินเรื่องใหญ่นะโว้ย
หมอบอกว่า โรคนี้ ไม่มีทางรักษาหาย เป็นแล้ว เป็นตลอดชีวิต ขอแค่กินยาควบคุมอาการทุกวัน
"ขอแค่กินข้าวเองได้ทุกมื้อ หมอก็ดีใจมากแล้ว" หมอบอก แหม ช่างตรงใจเรา อะไรมันจะสำคัญเท่าเรื่องกิน ต้องกินให้ได้ ของอร่อยในโลกตั้งมากมาย หากตักไข่ปลาคาร์เวียร์แล้วมือสั่นทำร่วงไป 2-3 เม็ด ก็ต้องเช็ดเหงื่อแล้วนะฮะ ค่าที่มันแพงเหลือใจ ดังนั้น สู้อย่างเดียวคือทางออก
และทั้งหมดนี้ ทำให้เราเปิดบล็อกนี้ขึ้น เพื่อที่จะบอกว่า ป่วยก็เบิกบานได้ แม้บางครั้ง ในใจจะร้องไห้ แต่ก็ต้องพยายามลุกขึ้นมายิ้มให้ได้ ที่สำคัญ เราจะไม่ยอมจ่อมจมอยู่กับความหดหู่ที่บ่อยครั้งมันเกิดขึ้น แต่เราจะ "ใช้ชีวิต" คำว่า "ใช้ชีวิต" ของเราหมายถึง จะเที่ยว จะกิน จะทำอะไรที่อยากทำ ใช้ชีวิตที่เหลือให้คุ้มค่า ไม่ยอมให้ความเจ็บป่วยมาทำให้เราเลิกใช้ชีวิต และหลังจากเล่าอาการป่วยแล้ว ต่อไปจะเล่าเรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่อง "ใช้ชีวิต" ที่เราจะไม่ยอมให้ใคร หรืออะไร มาทำให้การใช้ชีวิตของเราต้องผิดแผน
โอย แผนการกิน แผนการเที่ยว มีซะเยอะ
ขอ "ใช้ชีวิต" จนถึงอายุ 90 ก็พอ
I-Dea Stories (ไอ) เดียสตอรี่ส์ เป็นบล็อคที่รวบรวมผลงานเขียนส่วนตัวของอดีตสองนักข่าวบางกอกโพสต์ ซึ่งมีมากหมายหลายประเภท ทั้ง เรื่องสั้น บทความประวัติศาสตร์ ศิลปะ ศาสนา และที่สำคัญ สิ่งที่เป็นอาชีพของเราในยามนี้ คือ การท่องเที่ยว ที่พ่วงอาหารการกินมาด้วยโดยปริยาย (อ่านฟรีฮับ)
ผ่าตัดสมอง
ผ่าตัดสมองเหรอ...เรื่องเล็กน่า :)
เมื่อต้นปี 2559 เรามีอาการผิดปกติ เหมือนจะชัก เลยไปหาหมอ ตรวจพบว่า มีเนื้องอกในเยื่อหุ้มสมอง แต่ยังเป็นขนาดเล็ก และเนื้องอกประเภทนี้ ส่วนใหญ...

-
เรื่องสั้น "เบื้องหลังรอยยิ้มของโมนาลิซา" ตีพิมพ์ใน "ขายหัวเราะ" วันที่ 6 ก.ค. พ.ศ.2559 เป็นเรื่องสั้นที่ "รัก...
-
ร้าน Salad Factory (สลัด แฟคตอรี่) เป็นร้านที่อยากแนะนำมากๆ เพราะอาหารคุณภาพดี ราคาไม่แพง ของดังของร้านนี้ ก็ตามชื่อเลย คือ สลัดประเภทต่างๆ...
-
เรื่องสั้น "อโหสิกรรม" / ตีพิมพ์แล้ว ใน "ขายหัวเราะ" มิ.ย.2559 ตัดสินใจเขียนเรื่องสั้น หลังจากรู้ว่า มีเนื้องอกในสมอง ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น