วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2560

หลวงพระบาง 22 วัด (ตอนที่ 1) / Luang Prabang (1)

ใครจะบอกว่า "หลวงพระบาง" มีอะไรดีบ้าง เราคงบอกได้ไม่เหมือนคนอื่น เพราะตระเวณเดินไหว้พระอย่างเดียว นับรวมได้ 22 วัด ใน 5 วัน แถมยังเป็นการเดินล้วนๆ ไม่ขึ้นรถเลยอีกตะหาก (ไม่รู้จะบอกว่าอยากออกกำลังกาย หรือจะบอกว่า งก ดีกว่ากัน)


อันที่จริง เราวางแผนจะไปหลวงพระบางมานานแล้ว เพราะได้ตั๋วโปรมาจาก บางกอกแอร์เวยส์ ราคาโปรโมชั่น 4 พันกว่าบาท แต่พอถึงเวลาที่จะไปจริงๆ ก็มีเหตุไม่คาดฝัน คือ ต้องผ่าตัดสมองด่วน และหมอให้เวลาเตรียมตัว 2 สัปดาห์ ก็เลยเป็นที่มาที่การเที่ยวหลวงพระบาง กลายเป็นการเดินเข้าวัด ไหว้พระทุกวัดที่เจอ (แต่ก็แอบมีแว่บไปเล่นน้ำตกวันนึง 55)


เริ่มต้นเดินทาง เครื่องบินสบายพอใช้ได้ มีเลาจน์ให้นั่งกินข้าวต้มมัดก่อนขึ้นเครื่อง อิ่มสบาย ก่อนจะเจออาหารเช้าบนเครื่องเป็นโจ๊ก อืมม์ ไม่อร่อยเท่าไหร่ ที่สำคัญ ให้น้อย เลยยิ่งถือเป็นโชคดี ที่ได้ทานข้าวต้มมัดมาแล้ว

มองจากบนฟ้า ก็สวยดี
 
ถ้ามองเห็นแม่น้ำสายสำคัญ แปลว่าเครื่องใกล้ถึงหลวงพระบางแล้ว

พอเครื่องถึงสนามบิน ออกจะงงหน่อยๆ เพราะไม่ค่อยมีอะไร เรียบๆ ง่ายๆ เดินลงจากเครื่องไปถึงอาคารเลย


พอรับกระเป๋า เข้าห้องน้ำที่สนามบินแล้ว ก็ออกมาแลกเงินที่สนามบินนั่นแหละ มีร้านแลกเงิน 2 ร้านให้เลือก เท่าที่ดู ก็เรทเดียวกัน ตัดสินใจแลกมา 3 ล้านกีบ สำหรับใช้ 5 วัน (2 คน) เป็นค่ารถ ค่าเข้าสถานที่ต่างๆ ค่าอาหาร ค่าโรงแรม และค่าช้อปปิ้ง ซึ่งก็ปรากฎว่า ตอนกลับ เหลือกลับมาแลกคืน 3 แสนกีบ

แลกเงินเสร็จ ก็เข้าเมือง โดยไปที่เคาน์เตอร์ Taxi จ่ายค่ารถเข้าเมืองราคา 50,000 กีบ เราจองโรงแรมไว้ที่ เสียงแคนลาว รถก็ไปส่งจนถึงที่

เราจองโรงแรมผ่าน Booking.com มา ในราคา (รวมอาหารเช้า) คืนละ 25 เหรียญสหรัฐ (สำหรับ 2 คน) พอมาถึง  ก็บอกเจ้าของโรงแรมว่า มีแต่เงินกีบ จะคิดอย่างไร เจ้าของโรงแรมเลยตกลงราคาที่คืนละ 200,000 กีบ ก็เลยจ่ายไปก่อนเลย 800,000 กีบ สำหรับ 4 คืน จะได้ไม่ต้องเหลือพกเงินเยอะให้ยุ่งยาก (แหม พกเงินเป็นล้านๆ มันไม่สบายใจนะคุณ)

ทีแรกกระว่า คงพูดภาษาไทยกับเจ้าของโรงแรมได้สบาย ที่ไหนได้ ต้องพูดภาษาอังกฤษ เพราะโรงแรมย่านนี้ เจ้าของส่วนใหญ่เป็นชาวเวียดนาม ซึ่งอัธยาศัยดี น่ารัก เป็นกันเอง ถือว่าใช้ได้ทีเดียว ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปตัวด้านหน้าโรงแรมมา เพราะกำลังทุบ ทาสี ปรับปรุง เจ้าของก็ขอโทษขอโพยใหญ่

ลงมือเที่ยวชมวัดกันเสียที วัดแรกที่ไป คือ วัดใหม่ เพราะใกล้ที่สุด เดินออกมาจากโรงแรมไม่ไกล จะว่าไป ไม่ว่าจะไปไหนในหลวงพระบาง เริ่มต้นจากแยกไปรษณีย์ ก็ง่ายที่สุด วัดใหม่ น่าจะใกล้แยกไปรษณีย์ที่สุด เดินไม่กี่นาทีก็ถึง หากจะเดินชมเฉพาะด้านนอก ยังไม่เสียตังค์ แต่ถ้าจะเข้าด้านใน ต้องจ่าย คนละ 10,000 กีบ คุณพี่ผู้เก็บสตางค์ เล่าอย่างภาคภูมิใจว่า วัดนี้สำคัญ เพราะเป็นวัดที่สมเด็จพระสังฆราชองค์สุดท้ายเคยประทับอยู่ ก่อนจะเสด็จลี้ภัยไปกรุงเทพฯ และยังเคยเป็นที่ประดิษฐานพระบางด้วย







จริงๆ ภาพด้านบนนี้ ของแท้สีทองอร่าม แต่กล้องมือถือเราถ่ายมาไม่อร่ามเลย




เดินต่อจากวัดใหม่ ไปไม่ไกล ก็จะถึง หอพระบางแล้ว เป็นที่ประดิษฐานพระบาง พระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบาง ไม่มาไม่ได้เลยทีเดียว ไม่เสียค่าเข้า แต่ห้ามถ่ายรูปด้านใน เลยได้แต่รูปตัวอาคารมาฝากกัน




 หากเดินเข้าไปด้านใน จะเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งในอดีต เคยเป็นที่ประทับของเจ้ามหาชีวิต (ภาพล่าง)
ออกจากหอพระบาง แค่ข้ามถนนมา ก็เจอพระธาตุพูสี แต่อยู่บนภูเขา สูงลิบๆ เห็นแล้วแอบท้อนิดหน่อย แต่มาแล้วต้องขึ้นไปให้ได้
ค่าขึ้นพระธาตุพูสี 20,000 กีบ

 เดินขึ้นมา เห็นเขียนว่า มีบันได 328 ขั้น สูงราว 150 เมตร ความท้อแท้เริ่มมาเยือน แต่เอาว่ะ ยังไงก็ต้องขึ้นไป (ถ้ายังไม่จ่ายตังค์ อาจเปลี่ยนใจได้ แต่พอจ่ายแล้ว ความงก ก็สะกดจิตว่า เจ้าจงเดินขึ้นไปเดี๋ยวนี้)
 พอขึ้นมาเจอพระธาตุ งามอร่าม สมใจที่ขึ้นมา

 นักท่องเที่ยวมักจะได้รับคำแนะนำว่า มาดูพระอาทิตย์ตกดิน บนพระธาตุพูสี จะเป็นจุดที่สวยที่สุดในหลวงพระบาง แต่วันที่เรามา พระอาทิตย์คงไม่สบาย เลยไม่ยอมโผล่ออกมาให้เห็น บรรดาฝรั่งบ่นอุบไปตามๆ กัน แต่เราว่า แค่ดูวิว ก็สวยแล้ว
 ด้านใน มีพระพุทธรูปด้วย คนไม่รู้ ไม่ค่อยได้เข้ามา

จบวันแรกของการเดินทางมาหลวงพระบาง ได้เข้าสถานที่แค่นี้ก่อน จะเขียนต่อเลยก็กลัวจะยาวเกิน เดี๋ยวอ่านกันจนนึกว่าเป็นนิยายจีนชุด เลยขอแบ่งออกเป็นตอนๆ แบบสไตล์ซีรี่ยส์ ว่าแล้ว ตอนที่ 2 จะมาเร็วๆ นี้นะคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผ่าตัดสมอง

ผ่าตัดสมองเหรอ...เรื่องเล็กน่า :)

เมื่อต้นปี 2559 เรามีอาการผิดปกติ เหมือนจะชัก เลยไปหาหมอ ตรวจพบว่า มีเนื้องอกในเยื่อหุ้มสมอง แต่ยังเป็นขนาดเล็ก และเนื้องอกประเภทนี้ ส่วนใหญ...