เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา เจ้าชายแฮร์รี่ และเมแกน ดยุค และดัชเชสแห่งซัสเซกส์ ได้เผยแพร่วีดีโอส่วนพระองค์เนื่องในวันเกิดครบรอบ 1 ขวบของพระโอรส อาร์ชี่ เมานต์แบทเทน-วินด์เซอร์ เอ๊ะ แล้วทำไม พระโอรสของเจ้าชายแฮร์รี่ ถึงได้มีชื่อนามสกุลยาวเหยียดว่า อาร์ชี่ เมานต์แบทเทน-วินด์เซอร์ งานนี้ มีคำตอบค่ะ
เราคงต้องไม่ลืมว่า ราชวงศ์ที่เป็นพระประมุขของสหราชอาณาจักรในขณะนี้ คือ ราชวงศ์วินด์เซอร์ แล้วทีนี้ ปกติแล้ว ถ้าเป็น "เจ้า" ก็ไม่ต้องใช้นามสกุลค่ะ แต่ อาร์ชี่ นั้น ไม่ถือว่าเป็นเจ้าแล้ว เลยต้องมีนามสกุล แต่จะนามสกุลอะไรกันล่ะ
ย้อนไปเรื่องราชวงศ์อังกฤษ ปกติ จะใช้ชื่อราชวงศ์จาก นามสกุล ยศ ตำแหน่ง ฯลฯ ขององค์พระมหากษัตริย์ คือ นับจากฝ่ายชายเป็นหลัก เช่น พระประมุขพระองค์แรก หรือรัชกาลที่ 1 นั้น ก่อนจะมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษ ก็คือ วิลเลียม ดยุคแห่งนอร์มังดี ครั้นเมื่อพระองค์ข้ามจากฝรั่งเศสมาเป็นกษัตริย์อังกฤษ จึงใช้ชื่อราชวงศ์ นอร์มัน
แต่..เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการเปลี่ยนสายราชวงศ์ เช่น แตกหน่อออกไปหาพระราชนัดดา ที่ไม่ใช่สายตรง แต่เป็นหลานน้า หลานอา ก็จะเปลี่ยนชื่อราชวงศ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีพระเจ้าแผ่นดินเป็นหญิง ในตอนที่สมเด็จพระราชินีนาถยังครองราชย์อยู่ ก็ยังใช้ชื่อราชวงศ์เดิม (ตามพระราชบิดา) แต่ครั้นเมื่ออภิเษกสมรส และได้พระราชโอรสมาเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่ ทีนี้แหละค่ะ ก็จะเกิดการเปลี่ยนชื่อราชวงศ์ โดยยึดเอาตามนามบิดา เช่น กรณีของสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียนั้น เดิมราชวงศ์ฮันโนเวอร์ ตามพระราชบิดา แต่เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย อภิเษกสมรสกับเจ้าชายอัลเบิร์ต แห่งแซกซ์-โคบูร์ก-โกธา แล้ว พระราชโอรสที่ครองบัลลังก์ต่อมา คือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ก็กลายเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์แซกซ์-โคบูร์ก-โกธา
ย้อนไปที่สมเด็จพระราชินีนาถพระองค์ปัจจุบัน แห่งราชวงศ์วินเซอร์ คือ ควีนอลิซาเบธที่ 2 นั้น พระนางอภิเษกสมรสกับ เจ้าชายฟิลิปแห่งกรีซและเดนมาร์ก เจ้าชายฟิลิปพระองค์นี้ สืบเชื้อสายมาจากราชตระกูลเมานต์แบทเทน ซึ่งหากว่ากันตามราชประเพณีแล้ว หากวันใดที่เจ้าฟ้าชาร์ลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ ได้เถลิงราชย์เป็นพระเจ้าอยู่หัว ก็จะต้องเปลี่ยนราชวงศ์เป็นเมานต์แบทเทน (ทว่า เรื่องนี้ก็ไม่แน่นอนนะคะ เพราะสามารถแปรเปลี่ยนได้ ตามพระราชประสงค์)
ที่แน่ๆ ในปี ค.ศ.1960 สมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 2 ได้ทรงมีพระบรมราชโองการว่า ผู้ที่สืบสายโลหิตจากพระองค์ หากไม่ได้เป็นเจ้าชาย หรือเจ้าหญิงแล้ว จะให้ใช้นามสกุล เมานต์แบทเทน-วินด์เซอร์
และนั่นเป็นที่มาของ อาร์ชี่ เมานต์แบทเทน-วินด์เซอร์ ค่ะ
I-Dea Stories (ไอ) เดียสตอรี่ส์ เป็นบล็อคที่รวบรวมผลงานเขียนส่วนตัวของอดีตสองนักข่าวบางกอกโพสต์ ซึ่งมีมากหมายหลายประเภท ทั้ง เรื่องสั้น บทความประวัติศาสตร์ ศิลปะ ศาสนา และที่สำคัญ สิ่งที่เป็นอาชีพของเราในยามนี้ คือ การท่องเที่ยว ที่พ่วงอาหารการกินมาด้วยโดยปริยาย (อ่านฟรีฮับ)
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
"เทพี" ของพระยาแรกนา !
อีกไม่กี่วัน
จะถึงวันพืชมงคลแล้ว โดยปกติ จะมีการประกอบพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
แม้ปีนี้จะไม่มีพระราชพิธีเหมือนเดิม แต่ก็ขอใช้โอกาสนี้ เล่าเรื่อง “เทพีของพระยาแรกนา”
กันสักหน่อย เพราะนอกจากพระยาแรกนาซึ่งเป็นคนสำคัญในพระราชพิธีแล้ว ผู้ที่มีความสำคัญรองลงมา
น่าจะเป็น เทพีคู่หาบทองและเทพีคู่หาบเงิน ที่ไม่ว่าฝนจะตก แดดจะออก ร้อนเปรี้ยงๆ สักแค่ไหน
แค่เทพีทั้ง 4
ก็สวยพริ้งเสมอมา
เรื่องที่เล่านี้
ฟังต่อมาอีกทีจากท่าน อดีตปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ท่านสมหมาย สุรกุล
ซึ่งในสมัยที่ท่านยังดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงเกษตรฯ นั้น ก็ได้ทำหน้าที่พระยาแรกนาเสมอ
และหลังจากเสร็จพระราชพิธี ท่านก็มักจะกลับกระทรวงเกษตรฯ
มาเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง
ผู้เขียนในฐานะที่เป็นผู้สื่อข่าวประจำกระทรวงเกษตรฯ ก็ได้โอกาสเกาะโต๊ะฟังท่านเล่า
เรื่องที่ฮากันได้ตลอดคือ
ท่านมักจะ “หยอด” พอขำๆ ว่า แหม เป็นพระยาแรกนาสมัยนี้
ไมได้เทพีติดไม้ติดมือกลับบ้านเหมือนสมัยก่อน พอถามท่าน ท่านก็เล่าว่า
สมัยก่อนโน้นนน เมื่อมีพิธีแรกนาขวัญแล้ว พอเสร็จพิธี
พระเจ้าแผ่นดินก็จะพระราชทานเทพีคู่หาบทอง หาบเงิน
ให้กลับไปเป็นภรรยาของพระยาแรกนาเสียด้วยเลย ดังนั้น
ยิ่งทำหน้าที่พระยาแรกนาหลายปี ก็ยิ่งได้เทพีไปเสริมบารมีมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป
พระราชประเพณีวันพืชมงคลก็เลือนหายไปด้วย จนในปี พ.ศ.2503 คณะรัฐมนตรีมีมติฟื้นฟูพระราชประเพณีวันพืชมงคลขึ้นใหม่
และกำหนดให้ อธิบดีกรมการข้าว ดำรงแหน่งพระยาแรกนา ส่วนเทพีทั้ง 4 นั้น คัดเลือกจากภริยาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ต่อมามีการเปลี่ยนแปลง
ให้ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ทำหน้าที่พระยาแรกนา และจัดให้คัดเลือกเทพีทั้ง 4 จากข้าราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ
ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจู่ๆ จะไปคว้าเอาใครมาเป็นก็ได้ แต่ต้องมีเงื่อนไข คือ ต้องมีทั้งรูปสมบัติ
เป็นกุลสตรี สุขภาพแข็งแรง (เพราะอย่าลืมว่า เทพีต้องแบกคานหาบบรรจุเมล็ดข้าวเปลือกให้พระยาแรกนาใช้โปรยเมล็ดข้าวตลอดงาน
แต่ละกระบุงบรรจุเมล็ดข้าวหนัก 5 กิโลกรัม เทพีแต่ละนางแบก 2 กระบุง รวม 10 กิโลกรัม ให้สาวๆ มาแบกขนาดนี้ก็เรียกว่า หนักไม่ใช่เล่นนะคะ)
ที่สำคัญ
เทพีต้อง “โสด” มีตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นโทขึ้นไป
และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แล้ว
ตรงนี้
ท่าน (อดีต) ปลัดสมหมายหัวร่อคิกๆ บอกว่า แหม กำหนดให้ สาว สวย โสด
แล้วต้องเป็นข้าราชการชั้นโทด้วย ปีไหนหาไม่ได้จริงๆ ก็ต้องลดๆ คุณสมบัติ
เลือกจากข้าราชการชั้นตรีบ้างนั่นแหละ จะให้สาวๆ สวยๆ เป็นถึงชั้นโทแล้วยังโสด
มันหายากขึ้นเรื่อยๆ นา
และถึงจะโสด
แต่พอเสร็จพิธี เทพีทั้ง 4 ก็กลับบ้านใครบ้านมัน ไม่ได้ไปอยู่บ้านพระยาแรกนาเหมือนสมัยก่อน
แต่จะบอกว่า
เป็นอิสระแล้ว ก็ใช่ที่ เพราะมีข้อกำหนดอีกว่า ผู้เป็นเทพีคู่หาบเงินในปีนี้ จะเลื่อนเป็นเทพีคู่หาบทองในปีถัดไป
เอาล่ะซิ งั้นก็หมายความว่า หากได้รับการคัดเลือกเป็นเทพีคู่หาบเงินแล้ว
ยังต้องโสดต่อ ห้ามแต่งงานต่อไปอีก
จนกว่าจะหมดภารกิจในการเป็นเทพีคู่หาบทองอีกปีหนึ่ง เพราะฉะนั้น ใครเป็นแฟนเทพี ต้องรอไปก่อน ให้ทำหน้าที่ครบถ้วน
ทั้งหาบเงิน หาบทอง แล้วค่อยแต่งงานได้
ท่านผู้ใหญ่ในกระทรวงเกษตรฯ
ยังเล่าถึงความลำบากของเทพีทั้ง 4 อีกว่า ต้องฝึกซ้อมแบกคานหามนานตั้ง 3 เดือน ทั้งหนัก ทั้งเหนื่อย ต้องอดทนสารพัด แต่ก็เป็นเกียรติแก่ทั้งตัวเอง
และวงศ์ตระกูล
น่าชื่นชมนะคะ
วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
เรื่องสั้น : ความทรงจำ
“ผมรู้สึกแปลกๆ ครับหมอ เอ่อ..ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้หมอเข้าใจ แต่ผม..ผมรู้สึกเหมือนกับว่า ผมไม่เป็นตัวของตัวเอง เหมือนผมเป็นใครคนอื่น” ฐาปนาเล่าให้หมอประจำตัวของเขาฟังอย่างกระท่อนกระแท่น
พญ.สุธิดา ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมประสาทมองคนไข้ของเธออย่างเป็นห่วง อันที่จริง แม้ว่าฐาปนาเพิ่งจะผ่านการผ่าตัดสมองไปได้แค่ 3 เดือน แต่มันเป็นการผ่าตัดที่ถือว่าไม่ยาก ฐาปนามีเพียงเนื้องอกขนาดเล็กในเยื่อหุ้มสมอง และ ศ.นพ.สิระ ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมประสาท อาจารย์แพทย์ผู้ที่ลงมีดผ่าตัดให้เขา ก็ถือเป็นหมอมือหนึ่ง เมื่อเธอต้องมาดูแลการให้ยาคนไข้หลังผ่าตัดต่อมา เธอจึงไม่คิดเลยว่าจะมีปัญหา
แต่ฐาปนาก็มีปัญหา!
หลังผ่าตัด เขาพร่ำบอกเธอว่า ไม่เป็นตัวของตัวเอง และมีความวิตกกังวล ทั้งๆ ที่ก่อนผ่าตัด เขาก็ไม่เคยแสดงอาการเครียดมาก่อน
“คำว่า เหมือนเป็นใครคนอื่นของคุณ มันหมายความว่ายังไงคะ คุณพอจะขยายความให้หมอฟังได้ไหม” พญ.สุธิดาซักถาม
“ผม..อืมม์..มันอาจจะฟังดูแปลกนะครับ แต่หลังผ่าตัดได้ไม่นาน ผมก็รู้สึกกลัวน้ำ ผมหมายถึงแม่น้ำลำคลองน่ะครับ เมื่อก่อนผมไม่เคยกลัวเลย แต่เดี๋ยวนี้ ผมไม่กล้าแม้แต่จะมองแม่น้ำ แล้วผมก็กลัวฝั่งธนฯ ผมไม่กล้าขับรถไปฝั่งธนฯ ผมบอกไม่ถูก ใครบางคนที่ไม่ใช่ผม ทำให้ผมกลัว” ฐาปนาเล่าอย่างคล่องแคล่วขึ้น เขารู้สึกใจชื้น ที่หมอพยายามรับฟังเขา
“กลัวฝั่งธนฯ” พญ.สุธิดาทวนคำของคนไข้อย่างงุนงง เธอไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน หรือว่า การผ่าตัดจะทำให้ฐาปนาได้รับผลข้างเคียงที่คาดไม่ถึง หรือว่า..แพทย์หญิงไม่อยากคิดเลยว่า อาจจะต้องส่งเขาไปหาจิตแพทย์หรือเปล่า แต่เพื่อแก้สถานการณ์เท่าที่จะทำได้ เธอตัดสินใจให้ยาคลายเครียดกับเขา มันอาจจะเป็นไปได้เหมือนกัน ที่ผู้ป่วยไม่ได้กังวลก่อนผ่าตัด แต่กลับมีความเครียดหลังผ่าตัด แต่กลัวฝั่งธนฯ เนี่ยนะ เธอรู้สึกว่ามันผิดปกติอย่างประหลาด แต่ก็หวังว่า นัดคราวหน้าในอีก 3 เดือนต่อจากนี้ ฐาปนาอาจจะหายเครียดลงบ้าง
แต่กลับไม่เป็นไปอย่างที่ พญ.สุธิดาคิด
อีก 3 เดือนต่อมา ซึ่งเป็นการนัดพบแพทย์หลังผ่าตัดได้ครึ่งปี คนไข้ของเธอดูจะแย่ลงกว่าเก่า
“ผมรู้สึกว่า ไม่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นครับหมอ อย่างที่ผมบอก เหมือนมีใครอีกคนในตัวผม” ฐาปนาเล่าอย่างซึมเซา
“คุณยังกลัวน้ำ กลัวฝั่งธนฯ อยู่อีกเหรอคะ” พญ.สุธิดาชักกังวล
“ครับ มันหนักขึ้นกว่าเก่า ผม..เอ่อ..ผมรู้สึกว่า มันอยู่ในความทรงจำของผม ความทรงจำที่ว่า ผมจมน้ำตายที่ฝั่งธนฯ ในลำน้ำที่บรรยากาศไม่เหมือนตอนนี้ ผม..ผมพูดกับหมอได้ไหม” ฐาปนาสบตาหมอของเขาอย่างมีความหวัง
“ได้ซิคะ คุณบอกหมอได้ทุกเรื่อง หมอจะได้หาทางแก้ปัญหาให้คุณอย่างถูกวิธี”
“ผมรู้สึกตัวว่า ผมมีความทรงจำที่ไม่ใช่ของผม ความทรงจำที่ว่า ผมมีชีวิตอยู่ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์”
ฐาปนาเห็นสีหน้าของหมอว่ากำลังตระหนก “ผมรับราชการ ตอนที่คนอื่นๆ ย้ายจากฝั่งธนฯ มาบางกอกหมดแล้ว ผมต้องนั่งเรือกลับไปเอาเอกสารที่ฝั่งธนฯ แต่เกิดอุบัติเหตุขณะเดินทาง แล้วผมก็..ผมก็จมน้ำตาย ผมเลยกลัวน้ำ และกลัวที่จะต้องเดินทางไปฝั่งธนฯ มันทำให้ผมรู้สึกว่า ถ้าผมข้ามไปฝั่งธนฯ ผมจะต้องตาย”
พญ.สุธิดาสบตากับคนไข้ของเธอด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ก่อนที่จะตัดสินใจเพิ่มยาคลายเครียดให้เขา และนัดมาดูอาการอีกครั้งในอีก 3 เดือนข้างหน้า
9 เดือนหลังผ่าตัด
“มันหนักขึ้นกว่าเดิมครับหมอ ผมรู้สึกว่า ผมมีความทรงจำที่มากกว่านั้น นอกจากความทรงจำในสมัยรัตนโกสินทร์ ผมยังจำได้ว่าผมเคยเป็นพรานป่าในสมัยอยุธยา ผมเข้าป่าไปล่าสัตว์ แต่ผมถูกงูกัดตายในป่านั่นเอง ตอนนี้ ผมกลัวงูมาก แค่รูปงูในหนังสือ ผมก็ทนมองไม่ได้แล้ว” ฐาปนาเล่าให้แพทย์ของเขาฟังอย่างหมดหวัง มาถึงขั้นนี้ ฐาปนารู้ดีว่า ไม่ว่าจะเป็นหมอที่ไหน ก็คงคิดว่าเขาเป็นบ้า “แล้วผมก็เจ็บท้องน้อยบ่อยๆ ด้วยนะครับ มันยังเป็นความทรงจำที่เลือนลาง แต่ก่อนหน้านั้น ในอีกชีวิตหนึ่ง ผมเป็นพ่อค้า ผมถูกโจรแทงตาย แผลที่ถูกแทงมันยังเจ็บขึ้นมาเรื่อยๆ บางที เจ็บจนเหมือนผมจะทนไม่ไหว” ฐาปนาเล่าต่อ แม้หมอจะว่าเขาบ้า เขาก็คงต้องยอมรับ
“คุณพูดเหมือนคุณระลึกชาติได้” พญ.สุธิดารำพึงเบาๆ และเมื่อพยายามคิดหาทางออก เธอตัดสินใจว่า น่าจะส่งฐาปนาไปตรวจเอ็มอาร์ไอ หรือการตรวจสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มันอาจจะเป็นไปได้ไหมว่า การผ่าตัดมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดการกระทบกระเทือนในสมองของเขา หากมีอะไรผิดปกติจริง ผลเอ็มอาร์ไอ น่าจะบอกได้ หรือไม่ ก็คงต้องส่งเขาไปหาจิตแพทย์จริงๆ
และตอนที่นอนในอุโมงค์เครื่องมือตรวจเอ็มอาร์ไอนั่นเอง ฐาปนาก็ “จำ” เพิ่มขึ้นมาได้ว่า ในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาเคยเป็นกวี เป็นนักกลอนในสมัยอยุธยา ถึงตอนนี้ เขานึกถึงคำพูดของ พญ.สุธิดา หรือมันคือการระลึกชาติจริงๆ ถ้ามันเป็นจริง เขาจะไม่แปลกใจเลย ที่เขาแต่งกลอนเป็นตั้งแต่เด็กๆ แต่เขาก็คงจะไม่แปลกใจอีกเหมือนกัน หากหมอจะบอกว่าเขาเป็นบ้า!!
ผลการตรวจที่ออกมา ทำให้ พญ.สุธิดาถึงกับชะงักงัน สมองส่วนหน้าของฐาปนาเปลี่ยนไปมาก เมื่อเทียบกับผลเอ็มอาร์ไอที่เคยตรวจก่อนผ่าตัด มันดูมีความหนาแน่นมากกว่าเก่า และมีขนาดใหญ่ขึ้น นี่เป็นผลการตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบที่แพทย์หญิงผู้เชี่ยวชาญด้านสมองไม่เคยเห็นมาก่อน แม้ว่าจะเคยมีคนไข้ที่มีสมองส่วนหน้าขนาดใหญ่ หรือหนาแน่นให้เห็นมาก่อน แต่กรณีของฐาปนา สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจคือ ความเปลี่ยนแปลงในเนื้อสมองของเขา เพียงแค่ไม่กี่เดือนหลังผ่าตัด สมองส่วนหน้าของเขา “เปลี่ยนแปลง” ไปมาก
ก่อนจะให้คนไข้ของเธอได้ดูผลการตรวจ พญ.สุธิดา ตัดสินใจนำภาพเปรียบเทียบการตรวจสมองของฐาปนาไปให้ นพ.สิระ ช่วยพิจารณา พร้อมเล่าเรื่องของฐาปนาให้หมอผ่าตัดสมองผู้มีชื่อเสียงได้ฟัง
นพ.สิระ ขมวดคิ้ว เมื่อเห็นผลการตรวจสมองของผู้ป่วยที่เขาเป็นคนผ่าตัดให้เมื่อ 9 เดือนก่อน มันแปลกเหมือนที่ พญ.สุธิดาบอก สมองส่วนหน้าของฐาปนาเปลี่ยนไปมาก มันไม่น่าจะเป็นไปได้กับระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่ถึงปี ที่สมองจะเหมือนกับเป็นของคนละคน
“หนูบอกอะไรอาจารย์สักอย่างได้ไหมคะ” พญ.สุธิดาเอ่ยถามอาจารย์หมอ และมันทำให้เธอนึกถึงตอนที่ฐาปนาเคยถามเธอมาก่อนว่า เขาจะพูดกับเธอได้ไหม ใช่สิ มันเป็นคำถามที่ฟังเหมือนง่าย แต่ต้องรวบรวมความกล้าอย่างมากที่จะถาม
“ได้ซิ คุณถามผมได้ทุกเรื่องนั่นแหละ” นพ.สิระตอบเหมือนที่เธอเคยตอบคนไข้มาก่อน ยิ่งทำให้ พญ.สุธิดาประหวั่น ว่าคำถามของเธอจะฟังดูเหมือนคนบ้า นี่ซินะ อาจจะเป็นความรู้สึกที่ฐาปนาเคยรู้สึกมาก่อน
“คือ..” แพทย์หญิงเริ่มลังเลที่จะถาม แต่เธอก็ตัดสินใจในที่สุด “คือคุณฐาปนาเล่าเหมือนกับว่า เขามีความทรงจำใหม่ๆ..อืมม์ ไม่ใช่ซิคะ คงต้องบอกว่า เป็นความทรงจำเก่าๆ มากกว่า เขาบอกว่า เขามีความทรงจำที่ถอยไปในอดีต เหมือนที่คนเค้าพูดๆ กันว่า ระลึกชาติได้”
“แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ” อาจารย์แพทย์ถามกลับ
“หนูบอกตามตรงนะคะ ทีแรก หนูคิดอยู่ว่า อาจจะต้องส่งคุณฐาปนาไปหาจิตแพทย์ แต่พอมาเห็นการเปลี่ยนแปลงในสมองส่วนหน้าของเขา ทำให้หนูอดตั้งสมมติฐานไม่ได้ แต่มันก็อาจจะเป็นสมมติฐานที่บ้าบอชอบกล”
“สมมติฐานอะไรของคุณ” นพ.สิระจ้องเธอเขม็ง จนเธอรู้สึกปวดมวนในท้อง
“อาจารย์คะ อาจารย์จะว่ายังไง ถ้าหนูมีสมมติฐานว่า ความทรงจำในชาติก่อนๆ ไม่เคยหายไปไหน แต่ซุกซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่งในสมอง และเมื่อถูกกระตุ้น ความทรงจำนี้ก็เผยตัวเองออกมา” พญ.สุธิดาถึงกับลอบถอนหายใจเมื่อสามารถพูดออกมาได้จบจบ
บ้า มันเป็นสมมติฐานที่บ้าเอามากๆ บ้าตั้งแต่เชื่อว่าคนเราระลึกชาติได้นั่นแหละ มันอาจจะง่ายกว่าจริงๆ ถ้าจะส่งฐาปนาไปหาจิตแพทย์ คงดีกว่าที่เธอต้องมาเล่าความคิดสุดบ้านี่ให้อาจารย์ฟัง เธอจะไม่ประหลาดใจเลย หาก นพ.สิระ จะพลอยคิดว่าเธอบ้าไปอีกคนหนึ่ง
แต่นายแพทย์อาวุโสผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดสมองไม่เพียงแต่จะไม่ดุเธอ แต่เขากลับมองผลการตรวจสมองในมืออย่างครุ่นคิด
เวลาผ่านไปไม่กี่วินาที แต่แพทย์หญิงรู้สึกเหมือนนานนับชั่วโมง ก่อนที่ นพ.สิระจะเอ่ยปาก
“ผมอยากคุยกับคุณฐาปนา”
ฐาปนารู้สึกงงเล็กน้อย เมื่อพยาบาลสาวมาเชิญเขาไปที่ห้องของ นพ.สิระ และอดตกใจไม่ได้ ที่เข้าไปเจอแพทย์ทั้งสองคนมีสีหน้าเคร่งเครียด เอ หรือว่าผลตรวจออกมาว่าสมองเขามีปัญหา
คนไข้นั่งลงเบื้องหน้าหมออย่างช้าๆ เขารู้สึกถึงความกังวล แต่ นพ.สิระก็ยิ้มให้อย่างอบอุ่น
“ไม่มีอะไรมากหรอกนะคุณฐาปนา ผลการตรวจเรียบร้อยดี คุณไม่ได้มีโรคภัยอะไร” นายแพทย์อาวุโสรีบบอก เมื่อเห็นความวิตกฉายออกมาอย่างชัดเจนจากสีหน้าผู้ป่วยของเขา “ผมแค่อยากฟังคุณเล่าซ้ำอีกที ว่าหลังผ่าตัด คุณเป็นยังไงบ้าง คุณช่วยบอกผมอย่างละเอียดเลยได้ไหม”
ฐาปนาถอนหายใจยาว ก่อนจะเล่าให้หมอผู้เชี่ยวชาญด้านสมองทั้งสองคนฟังว่า หลังผ่าตัดเนื้องอกที่เยื่อหุ้มสมอง เขารู้สึกเบลอๆ อยู่ 2-3 วัน ก่อนที่จะ “รับรู้” ถึงใครบางคน หรือจะว่าไป อีกหลายคนที่อยู่ใน “ความทรงจำ” ของเขา ความทรงจำที่ไม่ควรจะมี แต่มันเกิดขึ้น เขาเคยเกิดมาก่อนหน้านี้ เคยเป็นกวี เคยเป็นพรานป่า เคยเป็นพ่อค้า เป็นข้าราชการ และยังอาจจะ “เคย” เป็นอะไรอีกหลายอย่าง ที่ในขณะนี้ ยังเป็นความทรงจำที่เลือนลาง แต่เขารู้ดีว่า ทุกความทรงจำจะกระจ่างชัดขึ้นมาเรื่อยๆ
นพ.สิระ และ พญ.สุธิดา ซักถามรายละเอียดต่างๆ ในแต่ละชีวิตของเขา ฐาปนาเล่าเท่าที่จำได้ มันเป็นความทรงจำที่เขารู้สึกว่าถูกเก็บกักมาแสนนาน ก่อนที่ทุกความทรงจำจะเปิดออกมาทีละหน้า ทีละหน้า เหมือนเขาเปิดหนังสืออ่าน แต่มันต่างจากการอ่านหนังสือตรงที่ว่า ทุกหน้าที่เปิดออกมานั้น เขารู้แล้วว่า ไม่ใช่ใครคนอื่นที่มาอยู่ในสมองของเขา แต่ทุกเรื่อง คือเรื่องของเขา ทุกความทรงจำ คือสิ่งที่เขาเคยทำ รับรู้ สุข เศร้า และเจ็บปวด โดยเฉพาะในทุกจุดจบ ที่ทำให้เขาเกิดความหวาดกลัว เขากลัวทุกรูปแบบของความตายที่ถาโถมมาใส่เขา
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง กว่าที่จะเล่าทุกความทรงจำได้จนแพทย์ทั้งสองพอใจ หมอยังคงให้ยาคลายเครียดกับเขา เพราะอยากให้ฐาปนาผ่อนคลาย และรับมือกับความทรงจำที่ถาโถมเข้ามาเรื่อยๆ ได้โดยไม่หนักหนามากนัก เมื่อฐาปนากลับบ้านไปพร้อมกับยาคลายเครียดถุงใหญ่ นพ.สิระ จึงได้หันมาปรึกษากับ พญ.สุธิดา
“สมมติฐานความทรงจำจากอดีตชาติของคุณ มันฟังดู..เอ่อ..หลุดโลกไปนิด” แพทย์อาวุโสเอ่ยขึ้น “แต่ผมไม่ได้บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้นะ ผมเองก็ชักจะเอนเอียงไปกับสมมติฐานของคุณแล้วล่ะ” นพ.สิระรีบพูดอย่างเร็ว เมื่อเห็นลูกศิษย์เริ่มทำสีหน้ากระดาก
“แล้ว..เราจะรักษาคุณฐาปนายังไงต่อดีคะอาจารย์” พญ.สุธิดาถาม
“รักษาเหรอ ถ้าคุณมีสมมติฐาน ผมคิดว่า เราคงไม่ต้องรักษา แต่เราต้องหาทางพิสูจน์สมมติฐานของคุณต่างหาก”
นพ.สิระ ผ่าตัดสมองคนไข้มามาก ทุกการผ่าตัด แพทย์ด้านศัลยกรรมประสาท จะทำงานร่วมกับแพทย์ด้านอายุรกรรมประสาทอย่างใกล้ชิด ทำให้นายแพทย์อาวุโสมีเครือข่ายแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านสมองจำนวนมาก ทั้งในและต่างประเทศ จึงได้ขอผลการตรวจสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากแพทย์ที่รู้จักมาให้ พญ.สุธิดาร่วมตรวจสอบ และเมื่อพบรายที่ “สงสัย” ก็จะขอพบเพื่อสัมภาษณ์คนไข้ ส่วนรายที่อยู่ต่างประเทศ ก็ไหว้วานให้แพทย์ในประเทศต่างๆ ช่วยสอบถาม รวมทั้งขอสัมภาษณ์คนที่อ้างตัวเองว่าระลึกชาติได้ และขอตรวจสมองคนเหล่านั้นด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าด้วย หากรายไหนมีความชัดเจนเหมือนที่เกิดขึ้นกับฐาปนา พญ.สุธิดาก็จะบินไปตรวจสอบด้วยตัวเอง
งานนี้ไม่ง่าย แต่ใช้เวลานานหลายปี และต้องเดินทางไปเกือบทั่วโลก กว่าจะได้ข้อมูลที่พบว่า สอดคล้องกับสมมติฐานของ พญ.สุธิดา ในขณะที่ฐาปนาเอง ก็มา “รายงาน” ความทรงจำจากอดีตที่ละเอียดขึ้น และย้อนเก่าไปเรื่อยๆ ของเขาอยู่เสมอ และมันทำให้มีสิ่งของ หรือสถานที่ที่เขา “กลัว” มากขึ้นเรื่อยๆ หากมันเกี่ยวข้องกับความตายในอดีตของเขา
พญ.สุธิดาพบว่า คนไข้หลายคนที่มีการเปลี่ยนแปลงในสมองส่วนหน้า มีอาการคล้ายกับฐาปนา คือ เหมือนจะระลึกชาติได้ หรือมันคือสิ่งที่แพทย์หญิงเรียกว่า มันคือ “ความทรงจำ” ที่ถูกเก็บไว้ในส่วนลึกของสมอง และเผยตัวออกมาเมื่อถูกกระตุ้นด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง เช่น การผ่าตัดสมอง หรือการกระทบกระเทือนของสมอง และในหลายๆ กรณี มันก็เกิดขึ้นเองโดยไม่มีอะไรมากระตุ้น แต่มักจะเกิดในเด็กอายุไม่เกิน 10 ขวบ ที่สมองส่วนหน้ามีความหนาแน่นมากกว่าปกติ และทุกคนยังมีสิ่งที่เหมือนกัน คือ กลัวอะไรบางอย่าง อย่างไม่มีเหตุผล จนกว่าจะ “จำได้” ว่ามันเป็นสิ่งที่เคยกระทบกับชีวิตในอดีตอย่างเลวร้าย
“ผมคิดว่า ในที่สุด คุณก็พิสูจน์สมมติฐานของคุณได้แล้วว่า ชาติก่อนมีจริง ความทรงจำจากชาติก่อนมีจริง และมันอยู่ในสมองของคนเรานั่นเอง” นพ.สิระเอ่ยขึ้น
“ไม่น่าเชื่อนะคะอาจารย์ ว่าเราได้ค้นพบสิ่งที่ตอบคำถามได้ ทั้งด้านความเชื่อ ศาสนา และวิทยาศาสตร์” พญ.สุธิดาตอบ
“ไม่ใช่เราหรอกนะ ผมคิดว่า ทั้งหมดที่ทำงานมานี่คือคุณ หมอสุธิดา คุณเป็นคนตั้งสมมติฐาน และพิสูจน์ เครดิตทั้งหมดเป็นของคุณ ผมเพียงแค่ช่วยเหลือในการหาเครือข่ายความรู้มาสนับสนุนสมมติฐานที่หลุดโลกของคุณ และตอนนี้ มันไม่หลุดโลกแล้ว ผมคิดว่า ถึงเวลาที่คุณจะเปิดเผย ตีพิมพ์ และนำเสนอผลงานของคุณต่อสาธารณะ”
“อาจารย์คิดว่า เราควรเปิดเผยเรื่องนี้แล้วเหรอคะ”
“ใช่ เพราะมันไม่ใช่เป็นสมมติฐานอีกต่อไปแล้ว แต่มันพิสูจน์แล้ว กลายเป็นทฤษฎีที่จะสั่นสะเทือนทั้งโลก” นพ.สิระยิ้ม “และผมเชื่อว่า เมื่อคุณนำเสนอทฤษฎีนี้แล้ว สิ่งต่อไปที่จะเกิดขึ้นก็คือ คุณจะเป็นคนไทยคนแรกที่ได้เป็นเจ้าของรางวัลโนเบล”
พญ.สุธิดารู้สึกเหมือนทุกอย่างลอยวนอยู่ในอากาศ ก่อนที่เธอจะรวบรวมมาเก็บเป็นระบบ เกือบ 10 ปี ที่เธอกับ นพ.สิระร่วมกันตรวจสอบเรื่องราวจากทั่วโลก หลังจากนี้ น่าจะใช้เวลาอีกไม่กี่เดือนก่อนที่เธอจะเขียนรายงานเสร็จ และนำเสนอมันต่อคนทั้งโลก โลกที่จะต้องตื่นตะลึงกับทฤษฎีของเธอ และไม่เพียงทฤษฎีนี้เท่านั้น เธอยังมีสมมติฐานใหม่ว่า หากมีกระตุ้นสมองอย่างเหมาะสม เช่น กระตุ้นสมองส่วนหน้าด้วยไฟฟ้าโดยฝีมือผู้เชี่ยวชาญ คนทั้งโลกจะระลึกชาติได้ เพียงแต่จะต้องใช้เวลาศึกษาเพิ่มอีกสักหน่อย มันจะดีแค่ไหน หากเราสามารถหาคำตอบที่เราอยากรู้ได้ เช่น ทำไมคนเราถึงกลัวอะไรบางอย่าง หรือทำไม บางคนจึงมีพรสวรรค์พิเศษ ความรู้จากอดีตกาลที่สะสมมา อาจจะช่วยพัฒนาให้โลกของเราไปได้ไกลขึ้น
เธอมีนัดกับฐาปนาอีกครั้ง เธออยากบอกผลการศึกษากับเขา อยากขอบคุณเขา ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เธอได้คิดสมมติฐาน ที่พัฒนามาเป็นทฤษฎีเขย่าโลก !!
ฐาปนานั่งอยู่ตรงหน้าเธอเหมือนเช่นเคย เกือบ 10 ปีที่เขามาหาเธอทุก 3 หรือ 6 เดือน เพื่อเล่าเรื่องในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาให้ฟัง ในทุกๆ ครั้งเขา “จำได้” ถึงเรื่องราวที่ถอยไปในหน้าประวัติศาสตร์ชีวิตของเขาไปเรื่อยๆ
แต่วันนี้ เขาดูเครียดมากๆ
“คุณดูมีเรื่องไม่สบายใจนะคะ” พญ.สุธิดาเอ่ยทัก
“ครับหมอ ผมเจอมันแล้ว” ฐาปนาบอก
“มัน หือ คุณหมายถึง...”
“ไอ้คนที่มันแทงผมตอนที่ผมเคยเป็นพ่อค้า มันเป็นโจรที่ทำให้ผมเจ็บมาจนถึงทุกวันนี้ ทุกครั้งที่นึกถึง ผมเจ็บแผลที่โดนแทงทุกครั้ง ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะเจอมัน” เขาพูดอย่างโกรธขึ้ง
“คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นใคร” นี่เป็นความรู้ใหม่ที่ทำให้ พญ.สุธิดาประหลาดใจมาก มันอาจจะกลายเป็นอีกสมมติฐานหนึ่งว่า คนเรา ไม่เพียงแค่ระลึกชาติได้ แต่ยังจำคนที่เคย “ร่วมชาติ” กันได้ด้วย
“ผมจำหน้ามันได้ มันติดตรึงอยู่ในความทรงจำของผม มันไม่เพียงแต่จะเป็นคนที่เคยแทงผม มันยังเป็นคนที่ทำเรือล่มในชาติที่ผมจมน้ำตายด้วย ผมจำมันได้ดี มันเพิ่งย้ายบ้านมาอยู่ในหมู่บ้านเดียวกับผม มันยิ้มเยาะผม เหมือนไม่รู้สึกรู้สมอะไรเลย ที่เคยฆ่าผม” ฐาปนาเกรี้ยวกราดขึ้นเรื่อยๆ
“เอ่อ..คุณฐาปนาคะ คุณต้องเข้าใจนะว่า มีแต่คุณ ที่จำอดีตชาติได้ คนอื่นเขาไม่ได้มีความทรงจำเหมือนคุณ” พญ.สุธิดาเริ่มมองเห็นปัญหาอยู่รำไร
“มันฆ่าผม มันขโมยทรัพย์สินของผม มันต้องรู้ซิ” คนระลึกชาติได้เหมือนจะไม่ได้ยินสิ่งที่หมอของเขาพูด แม้ พญ.สุธิดาจะพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาใจเย็น และทำความเข้าใจว่าชาติก่อนคือชาติก่อน และคนอื่นที่อยู่ในชาตินี้ไม่ได้รู้เรื่องด้วย แต่ฐาปนายังคงมีแววตาที่ดุดัน
เช้าวันรุ่งขึ้น พญ.สุธิดาถึงกับปล่อยโทรศัพท์มือถือร่วงหลุดมือไป เมื่อเห็นข่าวใหญ่
ฐาปนาบุกเข้าไปแทงเพื่อนบ้านตาย ก่อนจะป่าวประกาศเหตุผลว่า เขาแก้แค้นเรื่องที่ค้างคามาจากชาติก่อน และนั่น ทำให้ฐาปนาถูกส่งเข้าไปควบคุมตัวที่โรงพยาบาลจิตเวช
เขาฆ่าคนตาย และถูกกล่าวหาว่าเป็นบ้า!!
พญ.สุธิดารีบไปหา นพ.สิระ และช่วยกันโทรศัพท์สอบถามถึง “กลุ่มทดลอง” คนอื่นๆ ที่มีรายชื่ออยู่ในรายงานของเธอ ก่อนจะพบว่า มีอีกหลายรายในต่างประเทศ ที่ผู้ที่ “จำ” ชาติก่อนได้ ลงมือทำร้ายผู้คนอย่างไม่มีเหตุผล หรือไม่บางรายก็ถูกส่งเข้าโรงพยาบาลโรคจิต เพราะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรัก เรื่องแค้น หรือเรื่องหวงทรัพย์สินในอดีต
“คุณจะทำยังไงต่อไป” นพ.สิระถาม
“หนูคงต้องฉีกรายงานทฤษฎีของหนูทิ้งไปค่ะ” พญ.สุธิดาตอบเบาๆ
“คุณไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่พวกเขาทำนะ ไม่ว่าจะมีรายงานของคุณ หรือไม่มี พวกเขาก็มีความทรงจำของพวกเขาเอง และต้องจัดการกับความรู้สึกของพวกเขาเอง และผลงานของคุณ มันเป็นประโยชน์ ที่สามารถตอบคำถามที่คนเราสงสัยได้”
“ใช่ค่ะอาจารย์ คนที่จำเรื่องในอดีตชาติได้ ต้องควบคุมตัวเองให้ได้ แต่ถ้าหนูเปิดเผยทฤษฎีของหนูออกไป ก็จะมีคนสนใจการระลึกชาติมากขึ้น จะมีคนหาทางจำอดีตชาติให้ได้ด้วยวิธีต่างๆ เพราะมันเป็นสิ่งที่คนอยากรู้ อยากหาคำตอบ และหนูคงทนรับความรู้สึกแบบที่เกิดขึ้นกับกรณีของคุณฐาปนาไม่ได้”
“คุณจะไม่เปิดเผยทฤษฎีของคุณแน่หรือ”
“ค่ะอาจารย์ ทฤษฎีนี้ จะเป็นเพียงความทรงจำหนึ่งของหนูเท่านั้น”
“แต่..คุณก็รู้ นี่อาจจะหมายถึงโนเบลที่คุณควร...”
“มันไม่มีค่าหรอกค่ะอาจารย์ หากนึกถึงผลของมันที่จะตามมา” พญ.สุธิดาชิงพูดขึ้นมาก่อนที่อาจารย์ของเธอจะพูดจบ “โนเบลอาจจะนำมาสู่เรื่องร้ายๆ อีกมากในโลกนี้นะคะ หนูเชื่อว่าหนูตัดสินใจถูกค่ะอาจารย์ บางที มีความทรงจำมาก ก็เจ็บปวดมากนะคะอาจารย์ หนูคิดว่า หนูเพิ่งรู้ ว่าคุณฐาปนาต้องเจ็บปวดขนาดไหนกับความทรงจำแต่ละอย่าง” พญ.สุธิดาพูดพร้อมๆ กับน้ำตาที่รินไหล
ณ โรงพยาบาลจิตเวช แพทย์หญิงยืนมองฐาปนาที่ถูกคุมไว้ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เธอซึมซับได้ถึงสายตาที่เลื่อนลอยและเจ็บปวดของเขา คนไข้ที่เป็นแรงบันดาลใจสู่ทฤษฎีสะเทือนโลกของเธอ ทฤษฎีจากความทรงจำของเขา
แต่ตอนนี้ เขาไม่เหลือความทรงจำใดๆ ในสายตาอันว่างเปล่านั้น !!
วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563
ประติมากรรม : เดวิด
หนึ่งในความชอบของเราคือ การเดินทางดูศิลปะ ไม่ว่าจะเป็น ภาพวาด ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ฯลฯ
ผลงานศิลปะแรกที่นำมาให้ชมในเพจนี้ เป็นประติมากรรมที่ทุกคนน่าจะคุ้นตากันดี แต่อาจจะเลือนๆ ไปบ้าง ว่าเขาเป็นใคร นี่คือชายหนุ่มนาม #เดวิด ค่ะ งานแกะสลักนี้ เป็นผลงานที่โด่งดังของ มิเกลันเจโล หรือที่เรามักออกเสียงว่า ไมเคิล แองเจโล นั่นแล
รูปนี้สร้างเสร็จในปี 1504 และถูกนำมาตั้งอยู่หน้าลานปิแอสซาเดลลาซินญอเรีย ซึ่งเป็นศาลาว่าการของเมืองฟลอเรนซ์ แต่ต่อมา ในปี 1872 ก็มีการย้ายของแท้เข้าไปเก็บที่ หอศิลป์อะคาเดเมีย ของที่เห็นๆ กันหน้าศาลาว่าการ ซึ่งก็ถือรูปที่นำมาให้ชมกันนี่แหละ ก็เลยเป็นของปลอม แต่ก็ยังมีคนมายืนดูปีละหลายล้านคน (ไม่รู้ว่ามามุงดู "อะไร" ของเดวิด 55) ส่วนเราดูผ่านๆ เพราะคนเยอะเหลือเกิน
ป.ล.เดวิด เป็นวีรบุรุษในพระคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิม ผู้สังหารยักษ์โกไลแอท
ผลงานศิลปะแรกที่นำมาให้ชมในเพจนี้ เป็นประติมากรรมที่ทุกคนน่าจะคุ้นตากันดี แต่อาจจะเลือนๆ ไปบ้าง ว่าเขาเป็นใคร นี่คือชายหนุ่มนาม #เดวิด ค่ะ งานแกะสลักนี้ เป็นผลงานที่โด่งดังของ มิเกลันเจโล หรือที่เรามักออกเสียงว่า ไมเคิล แองเจโล นั่นแล
รูปนี้สร้างเสร็จในปี 1504 และถูกนำมาตั้งอยู่หน้าลานปิแอสซาเดลลาซินญอเรีย ซึ่งเป็นศาลาว่าการของเมืองฟลอเรนซ์ แต่ต่อมา ในปี 1872 ก็มีการย้ายของแท้เข้าไปเก็บที่ หอศิลป์อะคาเดเมีย ของที่เห็นๆ กันหน้าศาลาว่าการ ซึ่งก็ถือรูปที่นำมาให้ชมกันนี่แหละ ก็เลยเป็นของปลอม แต่ก็ยังมีคนมายืนดูปีละหลายล้านคน (ไม่รู้ว่ามามุงดู "อะไร" ของเดวิด 55) ส่วนเราดูผ่านๆ เพราะคนเยอะเหลือเกิน
ป.ล.เดวิด เป็นวีรบุรุษในพระคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิม ผู้สังหารยักษ์โกไลแอท
ราชสกุล สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
มีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง เธอนามสกุล #สนิทวงศ์ ณ อยุธยา แต่ไม่แน่ใจว่า เธอมาจากสายไหน ที่แน่ๆ ราชสกุล สนิทวงศ์ ณ อยุธยา สืบเชื้อสายมาจาก กรมหลวงวงศาธิราชสนิท (พระองค์เจ้านวม) พระราชโอรสใน รัชกาลที่ 2
กรมหลวงวงศาฯ มีพระโอรส-ธิดาหลายสิบคน หนึ่งในนั้นคือ หม่อมเจ้าชายสาย สนิทวงศ์ (ต่อมาในรัชกาลที่ 5 ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์) คนส่วนใหญ่เรียกท่านว่า หมอสาย เพราะทรงเป็นแพทย์ประจำพระองค์พระพุทธเจ้าหลวงด้วย
พระองค์เจ้าสาย มีโอรสหลายคน หนึ่งในนั้นคือ หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์ (เจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์) ท่านเป็นพระอัยกา(ตา) ใน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ค่ะ กล่าวคือ หม่อมราชวงศ์สท้าน มีธิดา คือ หม่อมหลวงบัว สนิทวงศ์ ซึ่งเสกสมรสกับพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ) และมีมีบุตรธิดา 4 คือ หม่อมราชวงศ์กัลยาณกิติ์ กิติยากร, หม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ กิติยากร, สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร) และ หม่อมราชวงศ์บุษบา สธนพงศ์
พูดภาษาชาวบ้านเพื่อให้เข้าใจง่าย หม่อมหลวงบัว สนิทวงศ์ เป็นแม่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
หม่อมราชวงศ์สท้าน เป็นตา
หม่อมเจ้าชายสาย เป็น ทวด
กรมหลวงวงศาธิราชสนิท (พระองค์เจ้านวม) เป็นเทียด
หม่อมราชวงศ์สท้าน เป็นตา
หม่อมเจ้าชายสาย เป็น ทวด
กรมหลวงวงศาธิราชสนิท (พระองค์เจ้านวม) เป็นเทียด
วันหลังถ้าได้เจอเพื่อนที่มาจากราชสกุลสนิทวงศ์ ณ อยุธยา จะลองถามเธอดูว่า เธอสืบมาจากทางไหน เพราะราชสกุลนี้ก็มีเยอะมากหลายสายทีเดียวค่ะ
สลิ่ม หรือ ซ่าหริ่ม
สลิ่ม หรือ ซ่าหริ่ม
(เรื่องนี้ เอาเป็นเกร็ดความรู้ ไม่ว่ากันด้วยการเมืองเน๊าะ)
ชื่อขนมที่เราได้ยินกันบ่อย เพราะถูกนำมาใช้ในทางการเมือง คือ สลิ่ม แต่จริงๆ แล้ว ประเทศไทย ไม่มีขนมชื่อ สลิ่ม แต่มีขนมที่ชื่อ ซ่าหริ่ม ต่างหาก
ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้แปลคำว่า ซาหริ่มว่า เป็น นาม หมายถึง ชื่อขนมอย่างหนึ่ง ทำด้วยแป้งถั่วเขียว ลักษณะเป็นเส้นเล็กและยาว มีหลายสี กินกับนํ้ากะทิผสมนํ้าเชื่อมใส่น้ำแข็ง
ขนมที่ชื่อ ซ่าหริ่มนี้ มีหลักฐานย้อนไปถึงสมัย รัชกาลที่ 2 ที่ทรงมีพระราชนิพนธ์กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน บทที่ว่า
ซ่าหริ่มลิ้มหวานล้ำ แทรกใส่น้ำกะทิเจือ
วิตกอกแห้งเครือ ได้เสพหริ่มพิมเสนโรย
ทำให้เรารู้กันว่า ซ่าหริ่ม เป็นขนมที่คนไทยกินกันมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ศตวรรษ และนักประวัติศาสตร์ยังเชื่อว่า น่าจะเป็นขนมที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา
แต่เราก็รู้กันอีกว่า ซ่าหริ่ม เป็นขนมที่กินเย็นๆ ถึงจะอร่อย นั่นหมายถึงต้องมีน้ำแข็ง แต่กว่าประเทศไทยจะมีน้ำแข็ง ก็เป็นช่วงรัชกาลที่ 5 ดังนั้น ก่อนหน้านั้น ซ่าหริ่ม คงจะไม่ได้เย็นชื่นใจเพราะน้ำแข็ง แต่มีการโรยเกล็ดพิมเสน เพื่อให้ได้ความเย็นแบบอดีต
ส่วนที่มาของ ซ่าหริ่ม สันนิษฐานว่า เป็นคำภาษาชวา Sa-Rim เพราะขนมชนิดนี้ มีอยู่ก่อนแล้วในอินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นขนมแป้งเหนียวใส มีการผสมสี
แต่ทำไม คำว่า สลิ่ม กลายเป็นคำศัพท์ทางการเมือง นั่นต้องย้อนไปในยุคที่มีการขัดแย้งทางความคิด เกิดกลุ่มเสื้อเหลือง เสื้อแดง และต่อมา ก็เกิดกลุ่มเสื้อหลากสี ที่นำโดย นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ในปี 2010 ที่เน้นว่า ไม่แบ่งสี เป็นกลางทางการเมือง และความหลากสี ทำให้คำว่า ซ่าหริ่ม ถูกนำมาใช้เรียกแทน และเพี้ยนเป็น สลิ่ม ขนมหวาน ที่เมื่อกลายเป็นบริบททางการเมืองแล้ว “สลิ่มไม่หวาน” เอาเสียเลย
(เรื่องนี้ เอาเป็นเกร็ดความรู้ ไม่ว่ากันด้วยการเมืองเน๊าะ)
ชื่อขนมที่เราได้ยินกันบ่อย เพราะถูกนำมาใช้ในทางการเมือง คือ สลิ่ม แต่จริงๆ แล้ว ประเทศไทย ไม่มีขนมชื่อ สลิ่ม แต่มีขนมที่ชื่อ ซ่าหริ่ม ต่างหาก
ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้แปลคำว่า ซาหริ่มว่า เป็น นาม หมายถึง ชื่อขนมอย่างหนึ่ง ทำด้วยแป้งถั่วเขียว ลักษณะเป็นเส้นเล็กและยาว มีหลายสี กินกับนํ้ากะทิผสมนํ้าเชื่อมใส่น้ำแข็ง
ขนมที่ชื่อ ซ่าหริ่มนี้ มีหลักฐานย้อนไปถึงสมัย รัชกาลที่ 2 ที่ทรงมีพระราชนิพนธ์กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน บทที่ว่า
ซ่าหริ่มลิ้มหวานล้ำ แทรกใส่น้ำกะทิเจือ
วิตกอกแห้งเครือ ได้เสพหริ่มพิมเสนโรย
ทำให้เรารู้กันว่า ซ่าหริ่ม เป็นขนมที่คนไทยกินกันมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ศตวรรษ และนักประวัติศาสตร์ยังเชื่อว่า น่าจะเป็นขนมที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา
แต่เราก็รู้กันอีกว่า ซ่าหริ่ม เป็นขนมที่กินเย็นๆ ถึงจะอร่อย นั่นหมายถึงต้องมีน้ำแข็ง แต่กว่าประเทศไทยจะมีน้ำแข็ง ก็เป็นช่วงรัชกาลที่ 5 ดังนั้น ก่อนหน้านั้น ซ่าหริ่ม คงจะไม่ได้เย็นชื่นใจเพราะน้ำแข็ง แต่มีการโรยเกล็ดพิมเสน เพื่อให้ได้ความเย็นแบบอดีต
ส่วนที่มาของ ซ่าหริ่ม สันนิษฐานว่า เป็นคำภาษาชวา Sa-Rim เพราะขนมชนิดนี้ มีอยู่ก่อนแล้วในอินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นขนมแป้งเหนียวใส มีการผสมสี
แต่ทำไม คำว่า สลิ่ม กลายเป็นคำศัพท์ทางการเมือง นั่นต้องย้อนไปในยุคที่มีการขัดแย้งทางความคิด เกิดกลุ่มเสื้อเหลือง เสื้อแดง และต่อมา ก็เกิดกลุ่มเสื้อหลากสี ที่นำโดย นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ในปี 2010 ที่เน้นว่า ไม่แบ่งสี เป็นกลางทางการเมือง และความหลากสี ทำให้คำว่า ซ่าหริ่ม ถูกนำมาใช้เรียกแทน และเพี้ยนเป็น สลิ่ม ขนมหวาน ที่เมื่อกลายเป็นบริบททางการเมืองแล้ว “สลิ่มไม่หวาน” เอาเสียเลย
วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2563
ความรู้เล็กๆ ตอน หลักการติดกระดุมสูท
ความรู้เล็กๆ ตอน หลักการติดกระดุมสูท
เวลาใส่สูท เคย งง ไหมคะ ว่าต้องติดกระดุมกี่เม็ด
คำตอบคือ เม็ดล่างสุด ห้ามติดกระดุมค่ะ ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่า ในรัชสมัยของพระเจ้าเอ็ดเวิ ร์ดที่ 7 แห่งอังกฤษนั้น สิ่งที่พระองค์ทรงโปรด ก็คือ การเสวยค่ะ เลยไม่แปลกที่พระองค์จะกลาย เป็น “ชายอ้วน” อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังทรงความสง่าสมพระเก ียรติเสมอ ด้วยการฉลองพระองค์ที่ “เนี๊ยบ” ทุกกระเบียดนิ้ว จนถูกนินทาว่า ไม่ว่าจะยามไหนก็แต่งพระองค ์เต็มยศตลอดเวลา แต่ยิ่งนานวันก็ยิ่งบั้นพระองค์ (เอว) ก็หนาขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ก็ไม่สามารถติดกระดุมเม็ดล่ างสุดของฉลองพระองค์ได้ และเหล่าข้าราชบริพารก็เลยแ ห่พากันทำตาม เรียกว่า ตามนายไว้ก่อน หมาไม่กัด นั่นเป็นคำตอบสำหรับผู้ที่อ าจจะเคยสงสัยว่า ทำไมมารยาทในการใส่สูทนั้น เหล่าผู้ดีมักจะปล่อยกระดุม เม็ดล่างสุดเอาไว้โดยไม่กลั ดให้เรียบร้อย ที่มาก็เป็นเพราะ “เอวหนา 48 นิ้ว” ของ "คิงเอ็ดเวิร์ด" นี่แหละค่ะ #ประวัติศาสตร์อังกฤษ #ประวัติศาสตร์ #เอ็ดเวิร์ดที่7 #หลักการใส่สูท
เวลาใส่สูท เคย งง ไหมคะ ว่าต้องติดกระดุมกี่เม็ด
คำตอบคือ เม็ดล่างสุด ห้ามติดกระดุมค่ะ ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่า ในรัชสมัยของพระเจ้าเอ็ดเวิ
เรื่องสั้น: ภาพแรก
![]() |
ภาพวาด ‘ทูตสวรรค์แกเบรียล’ บนแผ่นกระเบื้องเคลือบ ที่ได้รับการเปิดเผยจากกลุ่มนักประวัติศาสตร์ศิลปะ ที่ตรวจสอบที่มาของภาพนี้ในปี ค.ศ.2018 และคาดว่า น่าจะเป็นผลงาน "ภาพแรก" ของลีโอนารืโด ดาวินชี |
ที่มา : ผู้เขียน เขียนเรื่องนี้ขึ้น หลังจากมีการเปิดเผยภาพวาด "ทูตสวรรค์ แกเบรียล (The Archangel Gabriel)” บนแผ่นกระเบื้องเคลือบ ทรัพย์สินเก่าแก่ในครอบครองของตระกูลเฟนิเช แห่งราเวลโล ซึ่งได้มีการนำไปให้นักประวัติศาสตร์ศิลปะตรวจพิสูจน์ นักประวัติศาสตร์ศิลปะส่วนหนึ่งเชื่อว่า เป็นผลงานภาพวาดภาพแรกของลีโอนาร์โด ดาวินชี ศิลปินนามอุโฆษ แต่ก็ยังมีผู้คัดค้าน ทำให้ยังคงมีประเด็นถกเถียงกันในเรื่องนี้ต่อไป แต่ส่วนอื่นๆ ในเรื่องเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
------
หญิงสาวรู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น เมื่อเห็น วาทิน คุกเข่าลงตรงหน้าเธอ พร้อมหยิบกล่องเล็กๆ สีแดงสดใสออกมาเปิดให้เห็นแหวนเพชรที่มีประกายเจิดจ้า
“แองเจลิน่า เฟนิเช...” เอาแล้วไง เขากำลังเริ่มต้นการเอ่ยปากขอ “แม้ว่าผมจะเพิ่งได้พบคุณไม่นานนัก แต่ผมก็รู้ว่า คุณคือคนที่ผมตามหามาตลอด และผมอยากใช้ชีวิตที่เหลือจากนี้ไปกับคุณ แองเจลิน่า คุณจะให้เกียรติแต่งงานกับผมได้ไหม” หนุ่มลูกครึ่งอิตาเลียน-ไทย กล่าวอย่างฉะฉาน ไม่มีวี่แววของความลังเลเลยแม้แต่น้อย
แองเจลิน่า เองต่างหาก ที่รู้สึกปั่นป่วนไปหมด เธอรู้จักเขามาได้เกือบ 1 ปีแล้ว และแม้ว่าเวลาที่ผ่านมา วาทินทำให้เธอมีความสุขมาก แต่จะให้ตอบรับคำขอแต่งงานของเขาน่ะหรือ มันไม่ง่ายอย่างที่ใจเธอเคยคิด
ย้อนไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ในร้านกาแฟหรูของเมืองราเวลโล ประเทศอิตาลี แองเจลิน่าหยิบกาแฟ ก่อนจะหมุนตัวออกมาจากเคาน์เตอร์ แล้วชนเข้าอย่างจังกับผู้ชายที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นคนหนึ่ง หน้าตาสดใสของเขาทำให้พอมองออกว่าเป็นลูกครึ่งกึ่งยุโรป กึ่งเอเชีย กาแฟในมือของแองเจลิน่าหกใส่สูทสีอ่อนของเขาจนดูเป็นด่างดวงน่าเกลียด
“อุ๊บส์...” ทั้งสองฝ่ายหลุดปากออกมาแทบจะพร้อมๆ กัน ก่อนที่ฝ่ายชายจะเอื้อมมือมาจับมือของหญิงสาวเอาไว้ ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยปากถามว่าเขาเป็นอะไรมากหรือเปล่า เขากลับเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ขอโทษครับ ผมไม่ทันเห็นว่าคุณกำลังเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ กาแฟหกโดนคุณหรือเปล่า” เออแน่ะ เธอทำกาแฟหกรดเขา เขากลับเป็นฝ่ายถามว่ากาแฟหกใส่เธอหรือเปล่า ทำเอาแองเจลิน่าอดหัวเราะไม่ได้
และนั่นก็เป็นจุดกำเนิดของความสัมพันธ์ แองเจลิน่าได้ทำความรู้จักกับวาทิน เขาเป็นผู้ชายที่ไม่ว่าเดินไปทางไหนก็มักจะมีแต่คนเหลียวมอง ด้วยรูปร่างแข็งแรงเหมือนนักกีฬา กับหน้าตาหล่อเหลาแบบลูกครึ่ง และยิ่งเมื่อมาเดินเคียงข้างแองเจลิน่า ก็ยิ่งทำให้ทั้งคู่ถูกจับตามองมากขึ้น เพราะเธอไม่ได้เป็นเพียงผู้หญิงสวย แต่ตระกูลเฟนิเชของเธอ เป็นตระกูลขุนนางเก่าที่โด่งดังและรุ่มรวยของเมืองราเวลโล หรือจะว่าไปแล้ว เธอเป็นดาวเด่นของแคว้นกัมปาเนีย ดินแดนสวยงามและสุดแสนโรแมนติคของอิตาลีเลยทีเดียว การที่เธอจะเดินเคียงกับชายคนไหน ก็ล้วนแล้วแต่ถูกสื่อซุบซิบจับตามองทั้งนั้น
มิหนำซ้ำ ก่อนหน้าที่แองเจลิน่าจะเดินควงกับวาทินอย่างเปิดเผย เป็นที่รู้กันว่า เธอสนิทสนมอยู่กับฟิลลิปเป้ หนุ่มหล่อผู้คู่ควรกับเธอในเกือบทุกด้าน ทั้งรูปร่างหน้าตา และชาติตระกูล ที่ต่างก็เป็นคุณหนูลูกผู้ดีของราเวลโล จนทำให้ถูกตั้งข้อสังเกตว่าจะมีการลั่นระฆังวิวาห์กันในไม่ช้า ดังนั้น เมื่อสาวงามหันมาจี๋จ๋ากับอีกหนึ่งหนุ่ม ผู้โผล่มาจากความไร้ชื่อเสียง ก็ทำให้มีทั้งเรื่อง และภาพของทั้งสองลงในคอลัมน์ซุบซิบทั้งในนิตยสารไฮโซ และสังคมออนไลน์ จนวาทินกลายเป็นคนดังไปด้วย
“คุณรู้ไหม วาทิน หากเราไม่ได้พบกันในร้านกาแฟวันนั้น ป่านนี้ ฉันอาจจะแต่งงานกับฟิลลิเป้ไปแล้ว” แองเจลิน่าเอ่ยปากขึ้นในวันหนึ่งที่เขาและเธอกำลังเพลิดเพลินกับการเดินเล่นชมธรรมชาติอันงดงามในตอนเช้า หลังจากที่วาทินมานอนค้างในคฤหาสน์หรูของเธอมาได้หลายสัปดาห์แล้ว
“ผมรู้” วาทินยิ้มอ่อนโยน “และผมก็คิดว่า ช่างเป็นโชคดีเหลือเกิน ที่ผมได้พบคุณ ก่อนที่คุณจะเป็นของคนอื่น ความรักคงจะเมตตาผม” พูดจบ วาทินก็หันมาหอมแก้มเธอเบาๆ
เมื่อทั้งสองเดินขึ้นไปถึงยอดเนินเตี้ยๆ ที่มองออกไปเห็นทะเลสีครามสุดลูกหูลูกตา วาทินกอดหญิงสาวที่เขาหลงรักเอาไว้หลวมๆ และถามเธอด้วยคำถามที่เหมือนจะไม่ได้ใส่ใจมากนัก
“เออ จะว่าไป ผมรู้สึกว่าช่วงนี้ที่บ้านคุณออกจะยุ่งๆ ทั้งคุณพ่อ และพวกคุณอาของคุณ ดูจะมีเรื่องอะไรต่อมิอะไรกันสับสนวุ่นวาย ผมเห็นพวกเขาโทรศัพท์ หรือไม่ก็หยิบแล็ปท็อปขึ้นมาทำโน่นนี่กันตลอด มีอะไรที่ทำให้คุณต้องไม่สบายใจไปด้วยหรือเปล่า”
คำถามนี้ทำให้แองเจลิน่าครุ่นคิด เธอหันมามองหน้าคนรัก จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของเขา เหมือนจะค้นหาบางอย่าง ก่อนจะถอนหายใจ
“ฉันไม่รู้จะบอกคุณยังไงดีวาทิน เรื่องนี้เป็นความลับในตระกูลของฉัน” หญิงสาวตอบ
“อืมม์ ถ้าเป็นความลับของคุณ ผมก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวหรอกนะ ผมรู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร คุณเป็นคนของตระกูลใหญ่ ส่วนผมก็แค่นักดนตรีธรรมดา อันที่จริง ผมไม่คู่ควรที่จะมายืนเคียงข้างคุณด้วยซ้ำไป” วาทินพูด พร้อมกับคลายวงแขนที่กอดแองเจลิน่าอยู่ออกเล็กน้อย แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เธอรู้ดีว่าเขากำลังน้อยใจ
เรื่องนี้เป็นเรื่องยาก การที่เธอคบหากับวาทิน แม้จะถูกมองว่าไม่เหมาะสมในด้านทรัพย์สินและชาติตระกูล แต่อันที่จริง ครอบครัวของเธอไม่เคยมองว่าเรื่องนี้เป็นประเด็น เธอรู้ดีว่าพ่อของเธอเป็นคนหัวสมัยใหม่ที่เข้าใจดีว่า ความรักเป็นเรื่องที่เลือกไม่ได้ แม้ทุกคนจะเห็นพ้องกันว่า ฟิลลิปเป้ คือคนที่เหมาะสมก็ตามที แต่เรื่องหนักอกจริงๆ ของตระกูลเฟนิเชจริงๆ แล้ว กลับเป็นเรื่องทรัพย์สินในครอบครองชิ้นหนึ่ง ทรัพย์สินเจ้าปัญหา ที่พ่อบอกว่า ห้ามไม่ให้คนนอกตระกูลรับรู้ ก่อนจะถึงเวลาอันควร
แองเจลิน่ากอดวาทินแน่นขึ้น เธออยากให้เขาสบายใจ
“รออีกนิดนะที่รัก ฉันเชื่อว่า อีกไม่นาน เรื่องยุ่งๆ ในครอบครัวฉันจะเรียบร้อย” เธอบอกเขาด้วยรอยยิ้ม และแม้ชายหนุ่มจะยิ้มตอบ แต่แองเจลิน่าก็รู้ดีว่า มันเป็นเพียงร้อยยิ้มเศร้าๆ เท่านั้น
อีกไม่กี่วันต่อมา มีเสียงโทรศัพท์เข้ามาที่บ้านตระกูลเฟนิเช ทำให้มีการเรียกประชุมคนในครอบครัวอย่างเร่งด่วน แองเจลิน่าผลุนผลันออกจากห้องนั่งเล่นที่เธอกำลังดื่มน้ำชากับวาทิน เธอขอให้คนรักรออยู่ก่อน และหลังจากหายไปเกือบ 2 ชั่วโมง เธอกลับมาด้วยสีหน้าครุ่นคิด วาทินยืนหันหลังให้เธออยู่ที่ริมระเบียง และเมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้ เขาก็หันกลับมา พร้อมกับคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ เขาเอ่ยปากขอแต่งงาน มันทำให้แองเจลิน่ารู้สึกปั่นป่วน เธอก้มลงมองวาทิน เขากำลังรอคำตอบของเธออยู่ อันที่จริง เธอเคยคิดถึงฉากนี้มาก่อน ว่าสักวันมันจะต้องเกิดขึ้น และเธอคงอยากจะตอบตกลง แต่ในการประชุมครอบครัวที่เพิ่งผ่านมา ทำให้เธอไม่แน่ใจในตัวเขา
ขณะที่กำลังลังเล ไม่รู้จะพูดยังไงนั่นเอง เสียงรองเท้าที่เดินปังๆ เข้ามาอย่างไร้กาละเทศะก็ดังขึ้น ฟิลลิปเป้นั่นเอง เขาตรงมาที่ระเบียง พร้อมหัวเราะลั่น
“นั่นไง เหมือนที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด เขาขอคุณแต่งงาน” ฟิลลิปเป้ยังพูดกลั้วหัวเราะ ทำให้แองเจลิน่าหน้าแดงก่ำ ในขณะที่วาทินลุกขึ้นมาเผชิญหน้าฟิลลิปเป้
“นายมีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับเรื่องของเรา” วาทินถามอย่างฉุนเฉียว
“แกต่างหากวาทิน แกมีสิทธิ์อะไรเข้ามาถึงใจกลางตระกูลเฟนิเช” ฟิลลิปเป้ตอบ และตอนนั้นเอง ที่ผู้ใหญ่คนอื่นๆ ของตระกูลเฟนิเชต่างก็พากันเดินเข้ามาในห้อง พวกเขาจ้องมองวาทินอย่างโกรธขึ้ง
ฟิลลิปเป้คว้าแขนวาทินเอาไว้อย่างรวดเร็ว และเกินกว่าที่หนุ่มลูกครึ่งจะหลบหลีกได้ทัน ฟิลลิปเป้ก็หยิบของอย่างหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสูทของวาทิน แล้วชูของชิ้นนั้นขึ้นให้ทุกคนเห็นชัดๆ
มันคือเครื่องดักฟังที่มองเห็นชัดว่ามีหูฟังห้อยลงมา อีกด้านหนึ่ง แองเจลิน่าถอดกำไลข้อมือของเธอออก ส่งให้ฟิลลิปเป้ เขาแกะกุกกักอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยกสิ่งของเล็กๆ ด้านในกำไลให้ทุกคนเห็น เครื่องดักฟังขนาดเล็กนั่นเอง
วาทินผงะถอยหลัง ด้วยสีหน้าซีดเผือด เขาละล่ำละลักบอกสาวคนรัก
“คุณกำลังเข้าใจผิด แองเจลิน่า มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด”
“แล้วความจริงมันคืออะไรล่ะวาทิน เราทุกคนก็เห็นกันอยู่แล้วว่าคุณมันเป็นคนลวงโลก” เธอร้องไห้ และเดินไปยืนคู่กับฟิลลิปเป้
วาทินมองเห็นแล้วว่า เขากำลังจะสูญเสียทุกอย่าง
ก่อนหน้านั้น 2 ชั่วโมง ในการประชุมครอบครัวเฟนิเช พ่อของแองเจลิน่าซึ่งเป็นผู้นำตระกูลได้บอกความคืบหน้าเรื่องความลับของตระกูลให้ทุกได้รับฟัง
“เอาล่ะ หลังจากที่ครอบครัวของเรา ได้รับภาพวาด ‘ทูตสวรรค์แกเบรียล’ บนแผ่นกระเบื้องเคลือบมาตั้งแต่ ค.ศ.1499 พวกเราก็สงสัยมาตลอด ว่าภาพนี้มีความสำคัญยังไง บรรพบุรุษของเราถึงได้สั่งให้รักษาเป็นอย่างดีมาตลอด และอย่างที่ฉันได้บอกทุกคนแล้วว่า ฉันตัดสินใจส่งภาพนี้ไปให้นักประวัติศาสตร์ศิลปะตรวจสอบ ตอนนี้ ผลการตรวจสอบก็กลับมาแล้ว” เขาพูดรวดเดียวโดยไม่ติดขัด ในขณะที่ทุกคนนั่งกันนิ่งแทบจะไม่มีใครกล้าหายใจ
“มันเป็นจริงอย่างที่เราคิด” พ่อของแองเจลิน่ากล่าวขึ้น คราวนี้เรียกเสียงฮือฮาจากทุกคนได้อย่างอึงอล ก่อนที่จะหยุดนิ่งกันอีกครั้ง เมื่อประมุขของตระกูลพูดต่อ
“นักประวัติศาสตร์ศิลปะพิสูจน์แล้วว่า ภาพนี้มีอายุย้อนไปถึงคริสตศตวรรษที่ 15 และเป็นผลงานจากฝีมือของ ลีโอนาร์โด ดาวินชี ซึ่งวาดภาพนี้ตอนที่เขามีอายุเพียง 18 ปี ที่แน่ใจอย่างนี้ เพราะตรวจพบตัวเลขปีที่วาด และลายเซ็นของดาวินชีปรากฎในภาพ ลายเซ็นนี้ ถูกตรวจสอบลายมือแล้ว พบว่า เหมือนกับลายมือของดาวินชีในเอกสารอื่นๆ ที่เคยได้รับการรับรองก่อนหน้านี้ ทั้งหมดนี้ เป็นการยืนยันว่า ตระกูลของเราเป็นเจ้าของผลงานที่หายไปของดาวินชี และมันมีประเด็นที่สำคัญกว่านั้นอีก เพราะว่านี่ไม่ใช่เพียงภาพๆ หนึ่งของเขา แต่มันยังเป็นภาพแรก นี่คือผลงานแรกของดาวินชีก่อนที่จะมีชื่อเสียง ภาพวาดตอนที่เขายังเป็นวัยรุ่น มันจึงเป็นภาพที่ใครๆ ก็บอกไม่ได้ว่า มีมูลค่าเท่าไหร่ เพราะมันมหาศาลเกินกว่าจะเอ่ยออกมาเป็นตัวเลขได้ และในตอนนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ศิลปะได้เขียนคำรับรองนี้ออกมา และส่งให้บรรดาสื่อมวลชนแล้ว ในหนังสือพิมพ์ฉบับพรุ่งนี้เช้า คงเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก ว่ามีภาพแรกในชีวิตของดาวินชีอยู่ในครอบครองของพวกเรา”
เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตูเบาๆ เมื่อหันไปมอง ก็เห็นฟิลลิปเป้ถือวิสาสะเดินเข้ามา เขายกมือขึ้นแตะริมฝีปาก ส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ
ฟิลลิปเป้เดินตรงไปที่โต๊ะตัวใหญ่กลางห้อง เขาหยิบกระดาษจดโน๊ตขึ้นมาเขียนข้อความ ก่อนจะยื่นให้ทุกคนได้อ่าน
“อย่าส่งเสียง มีคนดักฟัง” นี่คือข้อความที่ฟิลลิปเป้เขียนบอกทุกคน ทำให้เกิดความเงียบยิ่งกว่าเงียบในห้องนั้น
ชายหนุ่มหันไปเขียนกระดาษอีกแผ่นหนึ่ง
“วาทินใส่เครื่องดักฟังไว้ในกำไลของแองเจลิน่า แต่เงียบไว้ เขาแอบฟังพวกคุณอยู่”
ตอนนั้นเอง ที่แองเจลิน่าลุกขึ้นยืน แล้วเดินกลับไปหาวาทิน เมื่อเขาคุกเข่าลงขอแต่งงาน เธอก็ตระหนักว่า เขาได้ยินหมดแล้ว เรื่องที่ตระกูลของเธอเป็นเจ้าของภาพวาดอันหาค่ามิได้ ภาพวาดที่อาจจะมีราคา “แพง” ที่สุดในโลก
“คุณกำลังเข้าใจผิด แองเจลิน่า มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด”
“แล้วความจริงมันคืออะไรล่ะวาทิน เราทุกคนก็เห็นกันอยู่แล้วว่าคุณมันเป็นคนลวงโลก” เธอร้องไห้ และเดินไปยืนคู่กับฟิลลิปเป้
วาทินมองเห็นแล้วว่า เขากำลังจะสูญเสียทุกอย่าง เขาไม่มีทางเลือก นอกจากพูดความจริง เขายืดอก หันไปผลักไหล่ฟิลลิปเป้อย่างแรง
“บอกพวกเขาซิ ฟิลลิปเป้ บอกซิ ว่าแกรู้ได้ยังไงว่าฉันดักฟัง แน่ล่ะซิ แกต้องรู้อยู่แล้ว เพราะแกเป็นคนจ้างฉันให้มาทำหน้าที่นี้เอง พูดความจริงมาซิฟิลลิปเป้ ถ้าแกกล้าพอ พูดความจริงออกมาซิ ว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนของแกเอง” วาทินพูดรัวเร็ว
“ใช่ ฉันกล้าพอที่จะพูด” ฟิลลิปเป้หันกลับไปหาบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลเฟนิเช “ผมยอมรับ ผมเองที่เป็นคนจ้างวาทินให้เข้ามาสืบความลับของตระกูลเฟนิเช และที่ผมรู้ทุกอย่าง ก็เป็นเพราะเครื่องส่งสัญญาณที่วาทินดักฟังมา มันส่งต่อถึงผมอีกทอดหนึ่ง” ว่าแล้ว ฟิลลิปเป้ก็หยิบเครื่องรับสัญญาณอีกตัวหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสูทของเขา
“ครอบครัวของผมรู้มานานแล้วว่า ตระกูลเฟนิเชส่งภาพวาดสำคัญมากไปให้นักประวัติศาสตร์ศิลปะตรวจสอบ ผมสืบจนรู้ว่า คนที่พวกคุณส่งงานไปให้ตรวจเป็นผู้เชี่ยวชาญงานของดาวินชี ผมก็เลยจ้างนายคนนี้ นายวาทิน พ่อหน่มรูปหล่อให้เข้ามาอยู่ในบ้านของพวกคุณ ผ่านทางแองเจลิน่า อันที่จริง ครอบครัวของผมก็แค่อยากรู้ความจริง เพราะภาพวาดที่พวกคุณได้มาจากดัชเชสแห่งอามัลฟีน่ะ ที่บ้านผมก็มีอีกชิ้นหนึ่ง หากภาพของพวกคุณเป็นผลงานของดาวินชี ก็เป็นไปได้ว่า ของที่บ้านผม ก็เป็นผลงานดาวินชีด้วย” ตอนนั้นเอง ที่วาทินทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น สีหน้าที่ซีดเผือดอยู่แล้ว ซีดลงไปกว่าเก่า เหมือนเขากำลังจะละลายหายไปจากโลกนี้
“ผมก็แค่อยากรู้ เพราะภาพวาดของบ้านผมมันแตกต่างจากของบ้านคุณ ภาพวาดของคุณมีขนาดแค่ 20 เซนติเมตร คุณเอาไปตรวจสอบได้ แต่ของบ้านผม บรรพบรุษผมดันเอาไปฝังไว้ในผนังบ้าน จู่ๆ ผมจะแงะผนังออกไปตรวจสอบก็ไม่ได้ เลยต้องมาสืบข้อมูลจากพวกคุณ และเมื่อได้ข้อมูล ผมก็จะไปจัดการกับทรัพย์สินของผมบ้าง แต่ไม่คิดเลยว่า วาทินจะมีแผนที่กว้างไกลกว่าผม หึๆ เขาถึงกับขอแต่งงานกับแองเจลิน่า โธ่เอ๊ย ไอ้ 18 มงกุฎ”
“ไม่จริงนะ ไม่จริง” วาทินตะโกน
“อะไรของแกล่ะ ที่ว่าไม่จริง เรื่องที่แกเป็น 18 มงกุฎน่ะเหรอ” ฟิลลิปเป้ยังคงเย้ยหยันเขา
“ใช่ ผมรับจ้างคุณให้มาสืบเรื่องภาพวาดที่นี่ แต่เรื่องขอแต่งงาน ผม..ผม..”
“หือ แกจะบอกว่าแกรักแองเจลิน่าอย่างนั้นน่ะหรือ ก็แหงล่ะซิ เธอเป็นทายาทของเจ้าของภาพวาดที่แพงที่สุดในโลกนี่นา แกถึงได้ลงทุนขอแต่งงานกับเธอ ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะของฟิลลิปเป้เสียดแทงเข้าไปถึงขั้วหัวใจของวาทิน ชายหนุ่มลุกขึ้นมา เขาหันไปหาคนรัก
“แองเจลิน่า ผมรู้ว่าผมไม่คู่ควร ผมเข้ามาด้วยเจตนาไม่ดี ผมเป็นนักต้มตุ๋น” ถึงตอนนี้ คนรักของเขาร้องไห้หนักขึ้น “แต่ได้โปรด เมื่อผมได้พบคุณ ผมตกหลุมรักคุณอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ทุกอย่างแองเจลิน่า ทุกอย่างที่ผมบอกคุณ เรื่องที่ผมรักคุณ มันจริงเสียยิ่งกว่าจริง แต่ผมไม่รู้จะทำยังไง ยิ่งเมื่องานที่ผมทำให้ฟิลลิปเป้จบลง ผมยิ่งต้องรีบ ผมรีบขอแต่งงานกับคุณ ไม่ใช่เพราะผมรู้ว่าคุณร่ำรวย แต่เป็นเพราะผมรักคุณ ได้โปรด ที่รัก ผม...” วาทินพูดไม่ทันขาดคำ ฟิลลิปเป้ก็ต่อยเขาจนล้มลงไปอย่างแรง ในขณะที่คนอื่นๆ ในบ้านสั่งให้บรรดาคนรับใช้โยนวาทินออกจากบ้าน
ใช่ เขาถูกโยนออกมาเหมือนหมาตัวหนึ่ง อันที่จริง วาทินไม่อยากให้เป็นอย่างนี้เลย เขาพูดความจริงทุกอย่าง เขาหลงรักแองเจลิน่าอย่างจริงใจ และอยากแต่งงานกับเธอ ไม่ว่าจะร่ำรวย หรือยากจน แต่เมื่อเหตุการณ์เดินทางมาถึงตอนนี้ เขามีแต่ต้องเดินหน้าตามแผนสอง
“พ่อครับ ลงมือได้” วาทินโทรศัพท์ไปพูดเพียงสั้นๆ พ่อของเขาซึ่งเป็นพ่อบ้านของฟิลลิปเป้ และชักนำให้วาทินได้รู้จักฟิลลิปเป้เข้าใจได้ในทันที เขาจัดการเสริฟเครื่องดื่มผสมยานอนหลับให้ทุกคนในบ้าน แล้วใช้เครื่องมือที่เตรียมไว้ “แงะ” เอาภาพวาดสำคัญที่ผนังนั้นไป ก่อนจะบึ่งรถไปสนามบิน รอลูกชายที่จุดนัดพบ
หลังวางสายจากพ่อของเขา วาทินโทรศัพท์ไปหานักประวัติศาสตร์ศิลปะ ผู้ตรวจสอบภาพวาดให้ตระกูลเฟนิเช ความเป็นนักต้มตุ๋นมืออาชีพทำให้เขาทำมันได้ไม่ยาก เขาเลียนเสียงพ่อของแองเจลิน่า บอกปลายสายว่า กำลังส่งว่าที่ลูกเขยไปรับภาพวาดของดาวินชีกลับมา ไม่มีใครสงสัยเขา เพราะเป็นที่รู้กันทั่วเมืองว่า วาทินเป็นคนรักของแองเจลิน่า และความวุ่นวายที่บ้านเฟนิเช ทำให้ไม่มีใครนึกถึงเรื่องนี้ เพราะมัวแต่ปลอบโยนแองเจลิน่า ถึงตอนนั้น วาทินก็รับภาพวาด แล้วเดินทางไปสมทบกับพ่อของเขาที่สนามบิน
ปลายทางคือกรุงเทพฯ แม่ของวาทินรออยู่ที่นั่น มันเป็นส่วนหนึ่งของแผนสอง แม่ของเขาเปิดเว็บไซต์ประมูลใต้ดินรอเอาไว้แล้ว
“ขอโทษนะแองเจลิน่า ผมตกหลุมรักคุณเข้าแล้วจริงๆ แต่ในเมื่อผมเดินตามแผนหนึ่งที่จะแต่งงานกับคุณไม่ได้ ผมก็มีแต่ต้องเดินหน้าด้วยแผนสองเท่านั้น” ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง และเมื่อไหร่ที่เครื่องบินถึงสุวรรณภูมิ เศรษฐีที่ประมูลชนะก็จะส่งคนมารับภาพทั้งสองไป แล้ววาทินก็จะเป็นคนที่รวยที่สุดจากน้ำพักน้ำแรงของลีโอนาร์โด ดาวินชี
“ลาก่อนแองเจลิน่า แม่ยอดรักของผม”
หมายเหตุ : ก่อนที่จะเขียนเรื่อง "ภาพแรก" ผู้เขียนได้เขียนเรื่อง "ภาพสุดท้าย" อันกล่าวถึงผลงานสุดท้ายของแวนโก๊ะ เป็นเรื่องที่ลงตีพิมพ์ใน "ขายหัวเราะ"
เรื่องสั้น : อย่าทอดทิ้ง
จะเกิดอะไรขึ้น หากเขารู้ว่า ในอนาคต ตัวเองจะเป็นคนแรกที่สามารถประดิษฐ์ไทม์แมชชีนสำเร็จ
คืนนั้น วาที เมามากทีเดียว มันเป็นคืนวันแต่งงานของเขากับวิภา ความที่ได้ฤกษ์แต่งงานมาค่อนข้างแปลก คือ หลวงพ่อที่วัดให้ฤกษ์มาเป็นวันสงกรานต์พอดี 13 เมษายน พ.ศ.2561 ทำให้คนที่มาร่วมงาน ทั้งฉลองสงกรานต์ และฉลองแต่งงานกันเมาแประไปหมด เพื่อนฝูงต่างก็มาขอชนแก้วกับเจ้าบ่าวหมาดๆ วาทีมองเห็นอยู่เหมือนกันว่าเจ้าสาวทำสีหน้าไม่พอใจนักที่เขาดื่มหนัก แต่เอาเถอะ ขอแค่คืนเดียว หลังจากนี้ วาทีจะเป็นสามีที่ดีของวิภาให้ได้ตลอด
ดึกแล้ว ได้ฤกษ์ส่งตัวบ่าวสาวเข้าเรือนหอ ซึ่งก็เป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียวที่วาทีและวิภาช่วยกันเก็บหอมรอมริบมาตลอดเวลาที่คบหากันมา 10 ปี ตั้งแต่เรียนจบ เพื่อนฝูงยังคงแห่ตามกันมาถึงเรือนหอ และชนแก้วกับเจ้าบ่าวไม่เลิกลา กว่าจะส่งตัวเข้าห้องหอกันได้ วาทีก็แทบหมดสภาพ
ในชุดเจ้าบ่าวสีขาวที่ตอนนี้มีรอยเปรอะเป็นด่างดวง วาทีนั่งคอพับอยู่บนเตียง วิภาในชุดเจ้าสาวที่ยังขาวสะอาดมองมาอย่างระอา แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่า งานแต่งงานทั้งที เพื่อนฝูงเหล่าวิศวกร และนักฟิสิกส์ ของแฟนหนุ่มคงถือโอกาสเมากันเต็มที่ หวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย
“ไหวไหม..ที” วิภาแตะบ่าเจ้าบ่าวเบาๆ อย่างเห็นห่วง แต่แค่แตะเบาๆ ก็ทำเอาสามีป้ายแดงหงายผลึ่งลงไปบนเตียง วิภาส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะพึมพำบอกเขาว่า ขอตัวไปอาบน้ำก่อน แต่ก็ไม่วายที่จะหันไปหยิบผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำ มาเช็ดหน้าเช็ดตาให้วาทีสักหน่อยก่อนที่จะเดินลับตาเข้าห้องน้ำไป
“ผมขอโทษ ขอโทษนะกร้าบบบบบ” วาทีลากเสียงอ้อแอ้ “ขอโต๊ดที่ดื่มหนักไปโหน่ยยย เพื่อนมาเย้ออออ เลยยย” วาทีลากเสียง สำนึกสลัวรางบอกว่า หลังจากเช็ดหน้าให้พอสดชื่น เจ้าสาวก็หายเข้าไปในห้องน้ำเสียแล้ว
และตอนนั้นเอง เสียงดัง “ฟึ่บ” ก็เข้ามากระทบหูวาที เขาถึงกับผวากับเสียงแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในห้องนอน เลยยกหัวที่หนักอึ้งขึ้นมองดู
อย่างไม่น่าเชื่อ ตรงข้างเตียงนอนนั้น มีชายชราคนหนึ่งยืนอยู่ วาทีแทบหายเมาเป็นปลิดทิ้ง และยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ชายชราก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาก่อนอย่างลุกลี้ลุกลน
“อย่าตกใจ นี่ฉันเอง ฉันมีเวลาไม่มาก” ชายชราพูด วาทีดันตัวเองขึ้นมานั่ง ฉันเองอะไรวะ เขาไม่รู้จักคนแก่อย่างนี้ที่ไหนสักหน่อย แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ผู้ชายท่าทางแปลกคนนี้เข้ามาในห้องนอนของเขาได้ยังไง หรือจะเป็นผีบ้านผีเรือน พอนึกถึงตรงนี้ วาทีก็แทบหายเมาเป็นปลิดทิ้ง แต่ก็กล้าพอที่จะลุกขึ้นมายืนเผชิญหน้ากับชายชราที่จู่ๆ ก็โผล่มากลางอากาศ
“เออ นายอาจจะไม่เข้าใจ แต่นี่คือฉัน ฉันคือนาย เอ่อ จะให้พูดยังไงดี ฉันก็ตกใจเหมือนกันที่โผล่มาตรงนี้จนได้ ฉันตั้งเวลาเอาไว้เสมอ ให้ย้อนอดีตกลับมาคืนวันแต่งงานของฉัน..ก็..ของนายด้วยนั่นแหละ ฉันจำได้แม่น วันสงกรานต์ปี 61 แนวคิดด้านฟิสิกส์ของฉัน เออ ก็ของนายนั่นแหละ มันได้ผล ไอ้เรื่องแรงเหวี่ยงนั่น มันได้ผลจริงๆ” ชายชรายังพล่ามไม่หยุด
“เดี๋ยวนะ อีกทีซิ คุณบอกว่า คุณย้อนอดีตกลับมาอย่างนั้นเหรอ ผมฟังไม่ผิดใช่ไหม” วาทีถามอย่างตื่นเต้น ก็เขาทำงานด้านฟิสิกส์วิศวกรรม และหนึ่งในความสนใจส่วนตัวของเขา ที่แอบหวังว่าสักวันจะทำได้ คือการสร้างเครื่องย้อนเวลา หรือไทม์แมชชีนนั่นแหละ มันก็เป็นความหวังที่เหมือนจอกศักดิ์สิทธิ์ของคนทำงานด้านนี้แทบทุกคน แล้วผู้ชายตรงหน้าที่ก็บอกว่า ย้อนเวลาได้ มันเรื่องจริงหรือเรื่องบ้าอะไรกันนี่ หรือเพื่อนคนไหนของเขาเข้ามาหลอกเล่นถึงในห้องหอ
“ใช่ ฉันพูดอย่างนั้นแหละ ฉันย้อนอดีตกลับมา และอย่างที่บอกแต่แรก ฉันก็คือนาย นายก็คือฉัน ฉันคืออนาคตของนายในอีกเกือบ 40 ปีข้างหน้า ตอนนี้ ฉันอายุ 70 แล้ว และฉันเพิ่งจะประสบความสำเร็จในการสร้างไทม์แมชชีนได้เป็นคนแรกของโลก” ชายชราพูดเร็วปรื๋อ
“ห่ะ จริงเหรอ คุณ..เอ่อ..คือ ผม ผมเป็นคนสร้างไทม์แมชชีนได้ในที่สุดเหรอ” วาทีตื่นเต้นจนแทบหัวใจกระตุก แต่ตั้งอายุ 70 ปีเลยหรือ มันคงจะนานไปหน่อย แล้วสมองของเขาก็คิดอย่างรวดเร็วว่า ก็ถ้าเขาสร้างไทม์แมชชีนได้ตอนอายุ 70 ปี แล้วกลับมาหาตัวเองได้ตอนอายุ 32 ปีในตอนนี้ ไอ้ตัวเขาคนที่อายุ 70 ก็น่าจะบอกวิธีการสร้างมันมาเลยซิ เขาจะได้เร่งเวลา สร้างไทม์แมชชีนให้ได้เลยในวันพรุ่งนี้นี่แหละ
”ฉันรู้..ฉันรู้ ว่านายคิดอะไรอยู่ แต่ฉันมีเวลาไม่มาก เครื่องที่ฉันสร้างขึ้น น่าจะย้อนเวลาได้แค่ประมาณ 5-10 นาทีเท่านั้น ฉันมีเรื่องจะบอกนาย มันสำคัญกับชีวิตของเรามาก ฉันอยากบอกนายว่า...”
“วิธีสร้างไทม์แมชชีนใช่ไหม” วาทีรีบถามก่อนที่ชายชราจะพูดจบ
“ไม่ใช่ ไม่ใช่” สีหน้าของชายชราดูเต็มไปด้วยความกังวล “ฉันจะบอกนายว่า อย่าทอดทิ้ง อย่าทอดทิ้งงงง....” เพียงเท่านั้นเอง ร่างของชายชราก็กลายเป็นเงาจางๆ และเลือนหายไป เหมือนตอนที่โผล่มาไม่มีผิด จู่ๆ ก็มา แล้วจู่ๆ ก็หายไป วาทีกำหมัดแน่นด้วยความเคืองโกรธ ไอ้บ้าเอ๊ย...เออ แล้วนี่เขานึกด่าใครกันล่ะ ก็มันตัวเขาเองนี่นะ พอคิดทบทวนดู หน้าตาชายชราที่มาก็คล้ายเขานั่นแหละ แต่ดูเหี่ยวย่นไปหน่อย มันจริง ดูเป็นเรื่องจริงเสียยิ่งกว่าจริง แต่คำพูดที่ว่า “อย่าทอดทิ้ง” คืออะไรกันล่ะ หรือตัวเขาในอนาคตจะบอกว่า การสร้างไทม์แมชชีนมันเป็นเรื่องยาก และห้ามทอดทิ้งความคิดนี้เด็ดขาด มันคงจะเป็นอย่างนั้น แต่ถึงจะยากแค่ไหน ในที่สุด เขาก็สร้างไทม์แมชชีนได้แล้วนี่ แม้จะเป็นตอนแก่ไปหน่อย คือตอนอายุตั้ง 7 ทศวรรษ แต่ถ้าตัวเขาในอนาคตฉลาดพอ ก็ควรจะกลับมาอีก กลับมาเพื่อบอกวิธีการสร้างไทม์แมชชีนให้เขา ก็จะใครล่ะ ก็เขา คือตัวเองนั่นแหละ ตัวเขาตอนอายุ 70 ปี น่าจะเข้าใจว่า ถ้ารีบกลับมาบอกวิธีการกันหนอย ความสำเร็จนี้ก็จะเร็วขึ้น แต่นั่นแหละ “อย่าทอดทิ้ง” เขาทบทวนกับตัวเองอย่าแน่วแน่
วิภาเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว ในชุดนอนบางๆ กับหน้าตาที่ล้างเครื่องสำอางออกหมดแล้ว เธอยังดูสวยสดใส เหมือนวันที่เขาพบเธอครั้งแรกในตอนเรียนมหาวิทยาลัย เขาเดินตรงรี่เข้าไปกอดเธอแน่นๆ
“อุ๊ย ไม่ได้ค่ะที เหม็นเหล้าออกจะตาย ทีรีบไปอาบน้ำก่อนนะ” เจ้าสาวของเขาบ่น อันที่จริง วาทีแค่อยากจะเล่าว่า ในที่สุด ในอนาคต อีกไม่นาน หากไม่ทอดทิ้งความตั้งใจเสียก่อน เขานี่แหละ จะเป็นคนสำคัญของโลก ผู้สร้างไทม์แมชชีน เอ ตัวเขาตอนอายุ 70 ปี จะได้รางวัลโนเบลหรือเปล่านะ วาทีคิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เขาควรจะบอกวิภา หรือเก็บเป็นความลับดีล่ะ ว่าแล้ว ความเมาก็กลับมาครอบงำมโนสำนึกของเขาอีกครั้ง วาทีรีบเข้าไปเอาน้ำราดหัว น้ำเย็นๆ ทำให้เขายิ่งเข้าใจตัวเอง ตัวเองจากอนาคต ที่บอกว่า อย่าทอดทิ้ง แม้จะต้องใช้เวลานาน เขาก็จะไม่มีวันทอดทิ้งความฝันที่จะเป็นผู้สร้างไทม์แมชชีน
เช้าแล้ว เช้าวันแรกของการเป็นสามี-ภรรยาอย่างสมบูรณ์ วาทีตื่นขึ้นมามองไม่เห็นวิภาเสียแล้ว เขาหยิบมือถือมาดูเวลา อ้าว นี่มันไม่ใช่ตอนเช้า แต่บ่ายกว่าๆ แล้วต่างหาก เขานอนไปรวดเดียวยาวนานกว่าสิบชั่วโมง แล้วตอนนี้ ควรจะทำอะไรต่อ ประสาข้าวใหม่ปลามัน แต่สมองของเขาติดอยู่กับคำว่า “อย่าทอดทิ้ง” หากเขาอยากจะเป็นคนแรกของโลกที่สร้างไทม์แมชชีนได้ เขาก็ต้องรีบ เขาไม่อยากรอจนอายุ 70
พออาบน้ำเสร็จ เดินออกมาจากห้องนอน วาทีเห็นวิภานั่งดูโทรทัศน์อยู่ แต่บนโต๊ะอาหาร ก็ดูเหมือนจะถูกเตรียมอาหารเอาไว้หลายอย่าง เธอหันมามอง และยิ้มให้เขา
“ตื่นจนได้นะคะเจ้าบ่าว วันแรกก็เมาแประเลย วันหลังไม่เอาอย่างนี้แล้วนะ ภาไม่อยากให้ทีเมามากขนาดนี้”
เขาเดินเข้าไปกอดเธอไว้หลวมๆ ก่อนจะหอมแก้มเบาๆ
“ผมขอโทษจริงๆ นะ พอดีเมื่อคืนเพื่อนๆ มาเยอะมาก เลยดื่มเยอะไปหน่อย แต่สัญญา ต่อไปจะไม่ดื่มแล้ว” วาทีบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน อย่างที่ทำให้วิภาหลงรักเขามาเสมอ เธอลุกขึ้น ดึงสามีหมาดๆ ไปที่โต๊ะอาหาร
“ภาว่า มีเรื่องที่เราต้องจัดการในบ้านเยอะเลยค่ะ ภาเห็นหนูวิ่งแว๊บไป แว๊บมา ในห้องนอนเราตั้งหลายตัว แต่พอจะตามหา ก็หาไม่เจอ ภาว่า น่าจะมีรังหนูอยู่ในบ้านเรานี่แหละ เดี๋ยวต้องให้ทีจัดการซะหน่อย แต่ตอนนี้ ภาเตรียมทำของชอบของทีไว้เยอะเลย มาทานข้าวกันเถอะ ตั้งเกือบบ่ายสองแล้ว ทีน่าจะหิวแย่” พอได้ยินอย่างนี้ เขายิ่งรู้สึกผิด ที่ทำให้เจ้าสาวต้องมารอทานอาหาร เขารีบทานอย่างเร่งรีบจนวิภานึกประหลาดใจว่าทำไมสามีถึงได้ทำอะไรดูเร็วๆ ลวกๆ ขนาดนี้ แต่หลังทานอาหารแล้ว ก็ได้คำตอบ
“ภา ผมรู้ว่า เราเพิ่งแต่งงาน แล้วเราก็ลาพักร้อนไว้แล้ว แต่ผมมีงานด่วนที่ต้องรีบกลับไปเคลียร์ที่แล็ป ผมขอตัวก่อนนะ แล้วจะพยายามรีบกลับ” วาทีชิงเอ่ยปาก “อ้อ แล้วเรื่องหนูในห้องนอน เดี๋ยวว่างๆ ผมจะดูให้” วาทีตะโกนมาจากรถ
เขาพอจะมองเห็นแววไม่พอใจในสายตาภรรยา แต่ก็นั่นแหละ หากไม่ทอดทิ้งความฝัน และรีบลงมือ ความสำเร็จจะต้องมาเยี่ยมเขาก่อนอายุ 70 ปีเป็นแน่ ก็ตัวเขาเองในอนาคตบอกใบ้ไว้แล้วนี่ ว่าแนวคิดของเขาถูกต้อง เขาคิดว่า ถ้าสร้างเครื่องที่มีแกนตรงกลาง เอาคน หรือสัตว์ไว้ในที่นั่ง แล้วให้แกนกลางเหวี่ยงอย่างเร็ว เร็วจนเข้าใกล้ความเร็วแสง การเดินทางย้อนเวลาก็น่าจะทำได้ แต่การจะสร้างแรงเหวี่ยงให้เร็วได้ขนาดนั้น เขาไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไง เลยต้องใช้ความคิดให้หนัก
หลังแต่งงาน วาทีคร่ำเคร่งอยู่กับแนวคิดที่ว่า อย่าทอดทิ้งความฝัน และศึกษาเรื่องโลหะที่ควรใช้ในการสร้างเครื่องเหวี่ยง และศึกษาถึงพลังงานที่สามารถให้ความเร็วสูงในการเหวี่ยงอย่างเต็มที่ มันควรจะเป็นพลังงานปรมาณู เขาคิด แล้วก็คิด แต่ก็ยังไม่สามารถพัฒนาการเหวี่ยงอย่างรวดเร็วให้ได้ผล แต่ก็ได้ทดลองสร้างเครื่องเหวี่ยงขนาดเล็กที่พอใส่หนูทดลองเข้าไปได้
วาทีมีเวลาให้วิภาน้อยมาก แต่ถึงกระนั้น เธอก็ทำหน้าที่ภรรยาที่ดีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เธอดูเขาทุกอย่างด้วยดี ทั้งอาหารการกิน เสื้อผ้า ที่หลับที่นอน ทุกอย่างทำให้เขาไม่ต้องกังวลกับเรื่องทางบ้าน เขาใช้เวลาที่แล็ปวันละกว่าสิบห้าชั่วโมง จนกระทั่งวิภาบอกเขาว่า เธอตั้งท้อง ลูกของเขา ลูกเป็นคำที่วาทีรู้สึกถึงความอิ่มเอิบในหัวใจ เขาเปลี่ยนไป วาทีทำงานน้อยลง กลับบ้านเร็วขึ้น ให้เวลากับภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์เต็มที่ จนกระทั่งลูกคลอด เขาได้ลูกสาว “น้องฟ้า” ลูกสาวคนสวยผิวพรรณผ่องใสเป็นหัวแก้วหัวแหวนของเขา วาทีรู้สึกว่า ชีวิตช่างลงตัว เขามีภรรยาที่ดี มีลูกที่น่ารัก ชีวิตครอบครัวสุขสันต์สมบูรณ์แบบ พ่อแม่ลูกหัวเราะร่าอยู่ด้วยกันที่บ้าน หรือวันว่างก็ขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน เป็นความสุขที่เขาเกือบจะไม่มีเสียแล้ว หากมัวทำงานอยู่ และไม่มีลูกสาวมาดึงให้กลับมาสู่การเป็นครอบครัว
จนน้องฟ้าอายุได้ 3 ขวบ ในวันสงกรานต์ปีนั้น ลูกสาวของเขาพูดขึ้นมาว่า อยากไปเที่ยวสงกรานต์ นั่นเองที่ทำให้วาทีคิดได้ถึงคืนวันแต่งงาน “อย่าทอดทิ้ง” ตัวเขาเองในอนาคตเคยบอกเอาไว้ อย่างนี้นี่เอง เมื่อเขาติดใจในความสุขประสาผู้ชายที่มีครอบครัวสมบูรณ์พร้อม เขาก็ทอดทิ้งความฝัน
วาทีอยากตบหัวตัวเองแรงๆ เขาทอดทิ้งความฝันมาหลายปี เสียเวลาไปจนทำให้โครงการสร้างไทม์แมชชีนไม่เดินหน้า วาทีเริ่มกลับไปเฝ้าห้องแล็ป คิดค้นหาทางสร้างแรงเหวี่ยง มันคงไม่เป็นไรหรอก มีวิภาอยู่ดูแลน้องฟ้าอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหา แต่เขาอดไม่ได้ที่จะนึกโกรธ “ตัวเอง” ในอนาคต นี่ไอ้คนอายุ 70 ปี มันไม่คิดจะกลับมาแนะนำอะไรเลยจริงๆ หรือนี่ ปัดโธ๋เอ๊ย แค่กลับมาบอกกันนิดๆ หน่อยๆ จะเป็นอะไรไป
“ไอ้ทุเรศ 70” วาทีบ่นกับตัวเอง ก่อนจะเดินหน้าคิดหาสูตรที่เหมาะสมในการสร้างแรงเหวี่ยงต่อไป แล้วมันก็ได้ผล เขาสามารถพัฒนาพลังงานที่สร้างแรงเหวี่ยงความเร็วสูงจนเข้าใกล้ความเร็วแสงได้ เขาใส่หนูเข้าไปในเครื่อง ตั้งเวลาให้ย้อนกลับไปวันสงกรานต์ปี 2561 เสมอ วันแต่งงานของเขา วันที่ไอ้ทุเรศ 70 กลับมาหาเขา เมื่อแรงเหวี่ยงถึงจุดที่เหมาะสม ก็จะมีเสียงดับ “ฟึ่บ” หนูหายไปจากเครื่อง เขาพอจะนึกออก ที่วิภาเคยบอกว่า ในคืนวันแต่งงาน มีหนูอยู่ในห้องนอน มันต้องเป็นหนูทดลองของเขานี่แหละ แต่เจ้าหนูทดลองหายไปจากเครื่องได้ไม่นาน ประมาณ 5-10 นาที มันจะกลับมาทุกครั้ง แล้วก็...ตาย...
ปัญหา นี่แหละ ปัญหาใหญ่ เขาพอจะเข้าใจว่า ทำไมมันตาย สิ่งมีชีวิตไม่ว่าหนูหรือคน คงทนแรงเหวี่ยงขนาดนี้ไม่ไหว และเมื่อเขาผ่าศพพวกมันออกมาดู ก็ยิ่งเห็นคำตอบชัดเจนว่า อวัยวะภายในของพวกหนูทดลองแทบแหลกเหลว แต่ถึงกระนั้น มันย้อนเวลาได้แน่ๆ เขามั่นใจ เพียงแต่จะทำยังไงให้ย้อนเวลาได้นาน และทนแรงเหวี่ยงได้ หากย้อนเวลาสำเร็จ แต่กลับมาตาย มันก็ไม่อาจจะเรียกว่าสำเร็จ
เขาเข้าใกล้ความสำเร็จนั้นไปทุกที วาทีแทบจะไม่ได้กลับบ้าน เขาไม่อาจทอดทิ้งความฝัน ยิ่งมันเกือบจะสำเร็จอยู่แล้วขนาดนี้ เขายิ่งลุ่มหลงไทม์แมชชีนหนักขึ้น หันมามองอีกที ปีนี้ น้องฟ้าอายุ 12 แล้ว กำลังจะเข้า ม.1
“ทีคะ วันนี้ ลูกเข้า ม.1 วันแรก ทีจะไปส่งลูกด้วยกันไหม” วิภาถามด้วยน้ำเสียงเนือยๆ อันที่จริง เขาแต่งตัวเสร็จ เตรียมออกไปห้องแล็ปแล้ว แต่พอเธอทัก เขาก็หันมามอง วิภาดูทรุดโทรมลงไปมาก นานหลายปีแล้ว ที่เขาไม่ค่อยได้พูดอะไรกับเธอมากนัก งานอันเป็นความฝันสูงสุดของเขากำลังคืบหน้า เขาไม่อยากทอดทิ้ง ในขณะที่น้องฟ้า เติบโต และสวยขึ้นทุกวัน เขาดึงลูกเข้ามากอด
“ดีใจด้วยนะลูก ขึ้นมัธยมแล้ว ให้แม่ไปส่งนะ พ่อต้องรีบไปทำงาน” วาทีบอกลูกสาวเบาๆ เขารู้ หากเขารีบทำงานให้เสร็จ เมื่อไหร่ที่สร้างไทม์แมชชีนได้ เงินทอง ชื่อเสียง ทุกอย่างจะหลั่งไหลมาหาเขา และเขาจะตอบแทนวันเวลาให้ภรรยาและลูกทีหลัง
แต่ดูเหมือนวิภาจะไม่เข้าใจ ตอนดึก เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน บ้านที่ปิดไฟมืดต่างกับทุกวัน เขาเจอจดหมายที่วิภาทิ้งเอาไว้ บอกว่า เธอไม่สามารถทนอยู่กับคนบ้างานอย่างเขา เธอตัดสินใจพาลูกสาวย้ายโรงเรียนไปอยู่กับคุณตาคุณยายที่เชียงใหม่ นี่มันเป็นบ้าอะไรกันไปหมด วาทีนึกรำคาญใจ เขาก็แค่อยากทำงานให้เสร็จ งานที่เขาไม่สามารถทอดทิ้งได้ แล้วลูกกับเมีย ก็เป็นฝ่ายทิ้งเขาไปอย่างนั้นหรือ เอาเถอะ เขาไม่มีเวลาพอที่จะมาต่อล้อต่อเถียง เท่าที่เขาทดลอง เขาเชื่อว่า อีกไม่นาน เขาจะแก้ปัญหาไทม์แมชชีนเครื่องแรกของโลกได้
เมื่อไม่มีวิภา และน้องฟ้าอยู่ที่บ้าน วาทีก็แทบไม่กลับ เขากินนอนอยู่ที่แล็ป ทุ่มเททุกสรรพกำลังเพื่อไทม์แมชชีนของเขา ยิ่งมันสำเร็จเร็วเท่าไหร่ เขาก็จะได้ไปหาวิภา อยากบอกเธอว่า เขาไม่เคยหมดรักเธอ แต่เขาก็ไม่อยากรอจนความสำเร็จมาถึงในวัย 70
แต่จวบจนใกล้อายุ 60 ความสำเร็จก็ยังมาไม่ถึง น้องฟ้าเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว เขาไปร่วมงานรับปริญญาของลูก แต่วิภาไม่พูดกับเขาสักคำ ทำเอาเขาอดเคืองไม่ได้ เธอทิ้งเขา ทิ้งบ้านที่ซื้อไว้เป็นเรือนหอ แล้วหนีมาปักหลักอยู่เชียงใหม่ ในขณะที่เขาทำงานหามรุ่งหามค่ำ แล้วเธอยังมีหน้ามาโกรธเขาอีกหรือ
อีก 5 ปีต่อมา การทดลองยังแทบจะหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม หนูทดลองยังหายไปในอดีตได้เพียง 5-10 นาที แล้วกลับมาตายทั้งหมด ในขณะที่น้องฟ้าโทรมาหาเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“พ่อคะ แม่ตายแล้ว” แค่คำพูดสั้นๆ วาทีก็ชาไปหมดทั้งตัว วิภาตายแล้วหรือ เธอจะตายไปก่อนที่จะได้เห็นความสำเร็จของเขาได้ยังไง วาทีรีบขึ้นไปเชียงใหม่ บรรดาญาติๆ ของวิภาล้วนมองเขาอย่างไม่เป็นมิตร และในสายตาที่ไม่เป็นมิตรนั้น เขามองเห็นมันอยู่ในสายตาน้องฟ้าด้วย
“พ่อเสียใจนะลูก ที่แม่มาด่วนจากไปก่อน ทั้งๆ ที่พ่อมีอะไรอยากบอกแม่อีกเยอะ” วาทีเอ่ยกับน้องฟ้า
“แม่ก็คงมีอะไรอยากพูดกับพ่อเยอะเหมือนกันค่ะ แต่พ่อแทบไม่เคย เอาเป็นว่า ไม่เคยเลยดีกว่า พ่อไม่เคยมีเวลาให้แม่ ให้ฟ้า หรือให้ใครทั้งนั้น แต่เอาแต่ทำงาน แล้วทิ้งหนูกับแม่” น้องฟ้าตอบเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทำเอาวาทีตกใจ
“อะไรกันลูก พ่อไม่ได้ทิ้งลูกกับแม่สักหน่อย แม่ต่างหาก ที่พาลูกหนีมาอยู่ที่นี่ แม่เป็นฝ่ายทิ้งพ่อ หอบผ้าหอบผ่อน หอบลูก ทิ้งพ่อไว้คนเดียว”
“พ่อคิดอย่างนั้นจริงเหรอคะ ฟ้าว่า พ่อน่าจะทบทวนดู ว่าใครกันแน่ที่ทิ้งใคร พ่อเอาแต่ทำงาน ทอดทิ้งเราสองแม่ลูก เราไม่เคยอยู่ด้วยกัน พ่อไม่เคยร่วมเป่าเค้กวันเกิดฟ้า พ่อไม่เคยไปโรงเรียนฟ้าตอนวันพ่อ พ่อไม่เคยฉลองวันครบรอบแต่งงานกับแม่ พ่อทอดทิ้งเราเพื่องานเสมอ บ้านไม่เคยเป็นบ้าน ฟ้าพูดแค่นี้ หวังว่าพ่อจะได้คิด แต่แม่ตายแล้ว มันก็สายไปแล้วค่ะพ่อ พ่อทอดทิ้งเรา ทิ้งแม่ให้ตายอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีสามีที่ดีมาดูแลยามป่วยไข้” ฟ้าร้องไห้หนัก แล้ววาทีก็ได้คิด ใช่สิ เขาเอง เขาที่เป็นคนทอดทิ้งลูก ทิ้งเมียไว้ที่บ้าน ใช้ชีวิตที่ไม่ประสบความสำเร็จอยู่ในห้องแล็ป
นี่เขาพลาดอะไรไปบ้างนะ พลาดวันเกิดลูกไปกี่หน พลาดวันครบรองแต่งงานไปกี่ครั้ง ถึงตอนนี้เอง เขาถึงได้เข้าใจความหมายของไอ้ทุเรศ 70 ที่มาบอกเขาว่า “อย่าทอดทิ้ง” ใช่สิ ถ้าเขาทำได้ เขาจะเข้าไปในไทม์แมชชีน กลับไปที่วันแต่งงาน 13 เมษายน 2561 เพื่อบอกกับตัวเองว่า พยายามยังไง เขาก็สร้างไทม์แมชชีนที่สมบูรณ์ไม่สำเร็จ ดังนั้น ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทอดทิ้งครอบครัวอันเป็นที่รักของเขา
“อย่าทอดทิ้ง” นี่คือสิ่งที่ไอ้ทุเรศ 70 บอกเขา ว่าอย่าทอดทิ้งครอบครัว
น้ำตาของผู้ชายวัย 65 ปีไหลริน เขาแก้ไขอะไรไม่ได้ วิภาตายไปแล้ว แต่เขาจะไม่หมดหวัง วาทีกลับไปห้องแล็ป สร้างเครื่องเหวี่ยวขนาดใหญ่ที่ใส่คนเข้าไปได้ ต่อไปนี้ สิ่งที่เดินทางจะไม่ใช่หนูทดลอง แต่เป็นตัวเขา ตัวเขาเองที่จะต้องกลับไปบอกวาทีในวัยหนุ่ม และคราวนี้ ต้องบอกให้ชัดเจน บอกไปเลยว่า “อย่าคิดสร้างไทม์แมชชีน” เพราะมันไม่มีทางสมบูรณ์ ไม่ว่าหนูทดลอง หรือมนุษย์ ไม่สามารถทนแรงเหวี่ยงระดับนี้ได้ แต่เขาต้องทำ ต้องกลับไปเพื่อเปลี่ยนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ครอบครัวของเขา
วาทีนึกถึงช่วง 3 ปีแรกที่มีน้องฟ้า เขามีควมสุขเหลือเกิน หากเขาไม่ทอดทิ้งครอบครัวมามัวสร้างไทม์แมชชีน ครอบครัวของเขาก็จะมีความสุข และผู้หญิงที่เขารัก จะไม่ตายอย่างโดดเดี่ยวอย่างนี้
ด้วยเครื่องที่ขนาดใหญ่ขึ้น มันยากขึ้นที่จะใช้พลังงานสร้างแรงเหวี่ยงได้ตามที่ต้องการ เขาใช้เวลาอีกนาน จน 5 ปีผ่านไป เครื่องไทม์แมชชีนขนาดใหญ่ของเขาถึงสร้างแรงเหวี่ยงความเร็วสูงใกล้ความเร็วแรงได้ และเขานี่แหละ ที่จะเข้าไปในเครื่อง กลับไปคืนวันแต่งงาน เขารู้ว่า มีเวลาไม่กี่นาที และตอนนั้น เขาบอกไม่ละเอียด คราวนี้ เขาจะบอกให้ชัด
13 เมษายน พ.ศ.2561 คืนวันแต่งงานของวาที กับวิภา
ในชุดเจ้าบ่าวสีขาวที่ตอนนี้มีรอยเปรอะเป็นด่างดวง วาทีนั่งคอพับอยู่บนเตียง วิภาในชุดเจ้าสาวที่ยังขาวสะอาดมองมาอย่างระอา
“ไหวไหม..ที” วิภาแตะบ่าเจ้าบ่าวเบาๆ ทำเอาสามีป้ายแดงหงายผลึ่งลงไปบนเตียง วิภาส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะพึมพำบอกเขาว่า ขอตัวไปอาบน้ำก่อน แต่ก็ไม่วายที่จะหันไปหยิบผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำ มาเช็ดหน้าเช็ดตาให้วาทีสักหน่อยก่อนที่จะเดินลับตาเข้าห้องน้ำไป
“ผมขอโทษ ขอโทษนะกร้าบบบบบ” วาทีลากเสียงอ้อแอ้ “ขอโต๊ดที่ดื่มหนักไปโหน่ยยย เพื่อนมาเย้ออออ เลยยย” วาทีลากเสียง และตอนนั้นเอง ก็มีเสียงดัง “ฟึ่บ”
ตรงข้างเตียงนอนนั้น มีชายชราคนหนึ่งยืนอยู่ และเอ่ยปากออกมาอย่างลุกลี้ลุกลน
“อย่าตกใจ นี่ฉันเอง ฉันมีเวลาไม่มาก” ชายชราพูด วาทีดันตัวเองขึ้นมานั่ง ก่อนจะลุกขึ้นมายืนเผชิญหน้ากับชายชราที่จู่ๆ ก็โผล่มากลางอากาศ
“เออ นายอาจจะไม่เข้าใจ แต่นี่คือฉัน ฉันคือนาย เอ่อ จะให้พูดยังไงดี ฉันก็ตกใจเหมือนกันที่โผล่มาตรงนี้จนได้ ฉันตั้งเวลาเอาไว้เสมอ ให้ย้อนอดีตกลับมาคืนวันแต่งงานของฉัน..ก็..ของนายด้วยนั่นแหละ ฉันจำได้แม่น วันสงกรานต์ปี 61 แนวคิดด้านฟิสิกส์ของฉัน เออ ก็ของนายนั่นแหละ มันได้ผล ไอ้เรื่องแรงเหวี่ยงนั่น มันได้ผลจริงๆ” ชายชรายังพล่ามไม่หยุด
“เดี๋ยวนะ อีกทีซิ คุณบอกว่า คุณย้อนอดีตกลับมาอย่างนั้นเหรอ ผมฟังไม่ผิดใช่ไหม” วาทีวัยหนุ่มถาม
“ใช่ ฉันพูดอย่างนั้นแหละ ฉันย้อนอดีตกลับมา และอย่างที่บอกแต่แรก ฉันก็คือนาย นายก็คือฉัน ฉันคืออนาคตของนายในอีกเกือบ 40 ปีข้างหน้า ตอนนี้ ฉันอายุ 70 แล้ว และฉันเพิ่งจะประสบความสำเร็จในการสร้างไทม์แมชชีนได้เป็นคนแรกของโลก” ชายชราพูดเร็วปรื๋อ
“ห่ะ จริงเหรอ คุณ..เอ่อ..คือ ผม ผมเป็นคนสร้างไทม์แมชชีนได้ในที่สุดเหรอ” วาทีตื่นเต้นจนแทบหัวใจกระตุก แต่ตั้งอายุ 70 ปีเลยหรือ มันคงจะนานไปหน่อย แล้วสมองของเขาก็คิดอย่างรวดเร็วว่า ก็ถ้าเขาสร้างไทม์แมชชีนได้ตอนอายุ 70 ปี แล้วกลับมาหาตัวเองได้ตอนอายุ 32 ปีในตอนนี้ ไอ้ตัวเขาคนที่อายุ 70 ก็น่าจะบอกวิธีการสร้างมันมาเลยซิ เขาจะได้เร่งเวลา สร้างไทม์แมชชีนให้ได้เลยในวันพรุ่งนี้นี่แหละ
”ฉันรู้..ฉันรู้ ว่านายคิดอะไรอยู่ แต่ฉันมีเวลาไม่มาก เครื่องที่ฉันสร้างขึ้น น่าจะย้อนเวลาได้แค่ประมาณ 5-10 นาทีเท่านั้น” ว่าแล้ว วาทีวัยชราก็ตรงเข้ามาล็อคคอปิดปากวาทีวัยหนุ่มไว้ เขาปล่อยให้ไอ้หนุ่มนี่พูดมากจนเสียเวลาไม่ได้
“ฉันมีเรื่องจะบอกนาย มันสำคัญกับชีวิตของเรามาก ฉันอยากบอกนายว่า อย่า อย่าสร้างไทม์แมชชีนเด็ดขาด มันไม่คุ้มหรอก จำไว้ อย่าสร้างไทม์แมชชีน....” วาทีในวัยชราชิงพูดเร็วรวดเดียว เพราะรู้ว่า ตัวเองมีเวลาไม่นานนัก เพียงเท่านั้นเอง ร่างของชายชราก็กลายเป็นเงาจางๆ และเลือนหายไป เหมือนตอนที่โผล่มาไม่มีผิด
วาทีในวัย 70 ปีรู้สึกเหมือนโดนดูดด้วยแรงมหาศาล กลับมาสู่เวลาของเขา ในขณะที่แรงเหวี่ยงกำลังสูงเล่นงานเขาอย่างที่คิดเอาไว้ เส้นเลือดในตัวเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ร่างกายของเขากำลังจะระเบิด ชายชราจะกลับไปยังเวลาที่จากมา ความเจ็บปวดทั่วทั้งอณูของชีวิตที่ใกล้แตกสลายทำให้เขาเจ็บปวดอย่างหนัก เป็นความเจ็บปวดมหาศาลอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันจะทรมานได้ขนาดนี้ แต่ท่ามกลางความรวดร้าวอย่างหาที่สุดไม่ได้นี้ วาทียังสุขใจ เขาเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้แน่ๆ ก็เขาบอกไอ้วัยหนุ่มแล้วว่า อย่าสร้างไทม์แมชชีน วาทีวัย 70 ปี ยิ้มให้ตัวเองอย่างเปี่ยมสุข เมื่อเขาจากมา และตายคาเครื่องที่เขาสร้างขึ้น ชีวิตในอดีตของเขาจะเปลี่ยนไป ครอบครัวจะยังเป็นครอบครัว เขาจะเป็นสามีที่ดี เป็นพ่อที่ยอดเยี่ยมให้น้องฟ้า รอยยิ้มยังติดอยู่ที่ริมฝีปากของเขา ในตอนที่ร่างไร้ลมหายใจกลับมาสู่เวลาเดิม
13 เมษายน พ.ศ.2561 คืนวันแต่งงานของวาที กับวิภา
วิภาเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว วาทีเดินตรงรี่เข้าไปกอดเธอแน่นๆ
“อุ๊ย ไม่ได้ค่ะที เหม็นเหล้าออกจะตาย ทีรีบไปอาบน้ำก่อนนะ” เจ้าสาวของเขาบ่น อันที่จริง วาทีแค่อยากจะเล่าว่าเพิ่งเกิดเรื่องประหลาดขึ้นในห้องนอน แต่ความเมาก็กลับมาครอบงำมโนสำนึกของเขาอีกครั้ง วาทีรีบเข้าไปเอาน้ำราดหัว น้ำเย็นๆ ทำให้เขาพยายามนึกว่า ตัวเองจากอนาคตบอกอะไร “อย่าสร้างไทม์แมชชีน” งั้นเหรอ
“ไอ้บ้า ในที่สุด ฉันในอนาคต ก็เป็นคนแรกของโลกที่สร้างไทม์แมชชีนได้ แล้วทำไม ฉันจะต้องไม่สร้างล่ะ ทฤษฎีแรงเหวี่ยงของฉันทำได้จริง แล้วตั้งแต่พรุ่งนี้ ฉันจะรีบเข้าห้องแล็ปไปสร้างไทม์แมชชีนให้เสร็จเร็วๆ ถ้ารู้แล้วว่าทฤษฎีของฉันคือคำตอบ อีกไม่กี่ปี มันต้องสำเร็จแน่ ไอ้ตัวฉันที่อายุ 70 มันบ้าไปแล้ว ถ้าทำได้ ใครล่ะ จะไม่อยากสร้างไทม์แมชชีน” วาทีพึมพำกับตัวเอง ว่าแล้วก็เหลือบไปเห็นอะไรสักอย่างวิ่งผ่านหางตาไป พอจ้องอีกทีก็แน่ใจว่าเป็นหนูแน่ๆ นี่มีหนูอยู่ในเรือนหอของเขาด้วยหรือนี่ เห็นทีต้องให้วิภาซื้อกับดักหนูมาสักหน่อย
แต่ที่แน่กว่านั้นก็คือ ในวันรุ่งขึ้น และวันต่อๆ ไป ชีวิตของวาที ก็จมอยู่กับการสร้างไทม์แมชชีนอยู่เสมอ
ก็เขาจะเป็นคนแรกของโลกที่ทำสำเร็จนี่นะ แล้วจะเลิกคิดไปกลางคันได้ยังไงกันล่ะ จริงไหม?
หมายเหตุผู้เขียน
เรื่องนี้ ออกแนววิทยาศาสตร์หน่อยๆ แต่ส่วนตัวคิดว่า เป็นเรื่องสั้นแนวครอบครัว ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก โดราเอมอน อืมม์..หรือจะว่าไป แรงใจทั้งหมด มาจากจาก อ.เอฟ ผู้เขียนโดราเอมอน ที่เป็นฮีโร่ของเรามากกว่า
![]() |
โดราเอมอน บนไทม์แมชชีน เป็นของเล่นที่ผู้เขียนซื้อมาจากญี่ปุ่น และเป็นแรงบันดาลใจให้กับการเขียนเรื่องนี้ค่ะ |
คืนนั้น วาที เมามากทีเดียว มันเป็นคืนวันแต่งงานของเขากับวิภา ความที่ได้ฤกษ์แต่งงานมาค่อนข้างแปลก คือ หลวงพ่อที่วัดให้ฤกษ์มาเป็นวันสงกรานต์พอดี 13 เมษายน พ.ศ.2561 ทำให้คนที่มาร่วมงาน ทั้งฉลองสงกรานต์ และฉลองแต่งงานกันเมาแประไปหมด เพื่อนฝูงต่างก็มาขอชนแก้วกับเจ้าบ่าวหมาดๆ วาทีมองเห็นอยู่เหมือนกันว่าเจ้าสาวทำสีหน้าไม่พอใจนักที่เขาดื่มหนัก แต่เอาเถอะ ขอแค่คืนเดียว หลังจากนี้ วาทีจะเป็นสามีที่ดีของวิภาให้ได้ตลอด
ดึกแล้ว ได้ฤกษ์ส่งตัวบ่าวสาวเข้าเรือนหอ ซึ่งก็เป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียวที่วาทีและวิภาช่วยกันเก็บหอมรอมริบมาตลอดเวลาที่คบหากันมา 10 ปี ตั้งแต่เรียนจบ เพื่อนฝูงยังคงแห่ตามกันมาถึงเรือนหอ และชนแก้วกับเจ้าบ่าวไม่เลิกลา กว่าจะส่งตัวเข้าห้องหอกันได้ วาทีก็แทบหมดสภาพ
ในชุดเจ้าบ่าวสีขาวที่ตอนนี้มีรอยเปรอะเป็นด่างดวง วาทีนั่งคอพับอยู่บนเตียง วิภาในชุดเจ้าสาวที่ยังขาวสะอาดมองมาอย่างระอา แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่า งานแต่งงานทั้งที เพื่อนฝูงเหล่าวิศวกร และนักฟิสิกส์ ของแฟนหนุ่มคงถือโอกาสเมากันเต็มที่ หวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย
“ไหวไหม..ที” วิภาแตะบ่าเจ้าบ่าวเบาๆ อย่างเห็นห่วง แต่แค่แตะเบาๆ ก็ทำเอาสามีป้ายแดงหงายผลึ่งลงไปบนเตียง วิภาส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะพึมพำบอกเขาว่า ขอตัวไปอาบน้ำก่อน แต่ก็ไม่วายที่จะหันไปหยิบผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำ มาเช็ดหน้าเช็ดตาให้วาทีสักหน่อยก่อนที่จะเดินลับตาเข้าห้องน้ำไป
“ผมขอโทษ ขอโทษนะกร้าบบบบบ” วาทีลากเสียงอ้อแอ้ “ขอโต๊ดที่ดื่มหนักไปโหน่ยยย เพื่อนมาเย้ออออ เลยยย” วาทีลากเสียง สำนึกสลัวรางบอกว่า หลังจากเช็ดหน้าให้พอสดชื่น เจ้าสาวก็หายเข้าไปในห้องน้ำเสียแล้ว
และตอนนั้นเอง เสียงดัง “ฟึ่บ” ก็เข้ามากระทบหูวาที เขาถึงกับผวากับเสียงแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในห้องนอน เลยยกหัวที่หนักอึ้งขึ้นมองดู
อย่างไม่น่าเชื่อ ตรงข้างเตียงนอนนั้น มีชายชราคนหนึ่งยืนอยู่ วาทีแทบหายเมาเป็นปลิดทิ้ง และยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ชายชราก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาก่อนอย่างลุกลี้ลุกลน
“อย่าตกใจ นี่ฉันเอง ฉันมีเวลาไม่มาก” ชายชราพูด วาทีดันตัวเองขึ้นมานั่ง ฉันเองอะไรวะ เขาไม่รู้จักคนแก่อย่างนี้ที่ไหนสักหน่อย แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ผู้ชายท่าทางแปลกคนนี้เข้ามาในห้องนอนของเขาได้ยังไง หรือจะเป็นผีบ้านผีเรือน พอนึกถึงตรงนี้ วาทีก็แทบหายเมาเป็นปลิดทิ้ง แต่ก็กล้าพอที่จะลุกขึ้นมายืนเผชิญหน้ากับชายชราที่จู่ๆ ก็โผล่มากลางอากาศ
“เออ นายอาจจะไม่เข้าใจ แต่นี่คือฉัน ฉันคือนาย เอ่อ จะให้พูดยังไงดี ฉันก็ตกใจเหมือนกันที่โผล่มาตรงนี้จนได้ ฉันตั้งเวลาเอาไว้เสมอ ให้ย้อนอดีตกลับมาคืนวันแต่งงานของฉัน..ก็..ของนายด้วยนั่นแหละ ฉันจำได้แม่น วันสงกรานต์ปี 61 แนวคิดด้านฟิสิกส์ของฉัน เออ ก็ของนายนั่นแหละ มันได้ผล ไอ้เรื่องแรงเหวี่ยงนั่น มันได้ผลจริงๆ” ชายชรายังพล่ามไม่หยุด
“เดี๋ยวนะ อีกทีซิ คุณบอกว่า คุณย้อนอดีตกลับมาอย่างนั้นเหรอ ผมฟังไม่ผิดใช่ไหม” วาทีถามอย่างตื่นเต้น ก็เขาทำงานด้านฟิสิกส์วิศวกรรม และหนึ่งในความสนใจส่วนตัวของเขา ที่แอบหวังว่าสักวันจะทำได้ คือการสร้างเครื่องย้อนเวลา หรือไทม์แมชชีนนั่นแหละ มันก็เป็นความหวังที่เหมือนจอกศักดิ์สิทธิ์ของคนทำงานด้านนี้แทบทุกคน แล้วผู้ชายตรงหน้าที่ก็บอกว่า ย้อนเวลาได้ มันเรื่องจริงหรือเรื่องบ้าอะไรกันนี่ หรือเพื่อนคนไหนของเขาเข้ามาหลอกเล่นถึงในห้องหอ
“ใช่ ฉันพูดอย่างนั้นแหละ ฉันย้อนอดีตกลับมา และอย่างที่บอกแต่แรก ฉันก็คือนาย นายก็คือฉัน ฉันคืออนาคตของนายในอีกเกือบ 40 ปีข้างหน้า ตอนนี้ ฉันอายุ 70 แล้ว และฉันเพิ่งจะประสบความสำเร็จในการสร้างไทม์แมชชีนได้เป็นคนแรกของโลก” ชายชราพูดเร็วปรื๋อ
“ห่ะ จริงเหรอ คุณ..เอ่อ..คือ ผม ผมเป็นคนสร้างไทม์แมชชีนได้ในที่สุดเหรอ” วาทีตื่นเต้นจนแทบหัวใจกระตุก แต่ตั้งอายุ 70 ปีเลยหรือ มันคงจะนานไปหน่อย แล้วสมองของเขาก็คิดอย่างรวดเร็วว่า ก็ถ้าเขาสร้างไทม์แมชชีนได้ตอนอายุ 70 ปี แล้วกลับมาหาตัวเองได้ตอนอายุ 32 ปีในตอนนี้ ไอ้ตัวเขาคนที่อายุ 70 ก็น่าจะบอกวิธีการสร้างมันมาเลยซิ เขาจะได้เร่งเวลา สร้างไทม์แมชชีนให้ได้เลยในวันพรุ่งนี้นี่แหละ
”ฉันรู้..ฉันรู้ ว่านายคิดอะไรอยู่ แต่ฉันมีเวลาไม่มาก เครื่องที่ฉันสร้างขึ้น น่าจะย้อนเวลาได้แค่ประมาณ 5-10 นาทีเท่านั้น ฉันมีเรื่องจะบอกนาย มันสำคัญกับชีวิตของเรามาก ฉันอยากบอกนายว่า...”
“วิธีสร้างไทม์แมชชีนใช่ไหม” วาทีรีบถามก่อนที่ชายชราจะพูดจบ
“ไม่ใช่ ไม่ใช่” สีหน้าของชายชราดูเต็มไปด้วยความกังวล “ฉันจะบอกนายว่า อย่าทอดทิ้ง อย่าทอดทิ้งงงง....” เพียงเท่านั้นเอง ร่างของชายชราก็กลายเป็นเงาจางๆ และเลือนหายไป เหมือนตอนที่โผล่มาไม่มีผิด จู่ๆ ก็มา แล้วจู่ๆ ก็หายไป วาทีกำหมัดแน่นด้วยความเคืองโกรธ ไอ้บ้าเอ๊ย...เออ แล้วนี่เขานึกด่าใครกันล่ะ ก็มันตัวเขาเองนี่นะ พอคิดทบทวนดู หน้าตาชายชราที่มาก็คล้ายเขานั่นแหละ แต่ดูเหี่ยวย่นไปหน่อย มันจริง ดูเป็นเรื่องจริงเสียยิ่งกว่าจริง แต่คำพูดที่ว่า “อย่าทอดทิ้ง” คืออะไรกันล่ะ หรือตัวเขาในอนาคตจะบอกว่า การสร้างไทม์แมชชีนมันเป็นเรื่องยาก และห้ามทอดทิ้งความคิดนี้เด็ดขาด มันคงจะเป็นอย่างนั้น แต่ถึงจะยากแค่ไหน ในที่สุด เขาก็สร้างไทม์แมชชีนได้แล้วนี่ แม้จะเป็นตอนแก่ไปหน่อย คือตอนอายุตั้ง 7 ทศวรรษ แต่ถ้าตัวเขาในอนาคตฉลาดพอ ก็ควรจะกลับมาอีก กลับมาเพื่อบอกวิธีการสร้างไทม์แมชชีนให้เขา ก็จะใครล่ะ ก็เขา คือตัวเองนั่นแหละ ตัวเขาตอนอายุ 70 ปี น่าจะเข้าใจว่า ถ้ารีบกลับมาบอกวิธีการกันหนอย ความสำเร็จนี้ก็จะเร็วขึ้น แต่นั่นแหละ “อย่าทอดทิ้ง” เขาทบทวนกับตัวเองอย่าแน่วแน่
วิภาเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว ในชุดนอนบางๆ กับหน้าตาที่ล้างเครื่องสำอางออกหมดแล้ว เธอยังดูสวยสดใส เหมือนวันที่เขาพบเธอครั้งแรกในตอนเรียนมหาวิทยาลัย เขาเดินตรงรี่เข้าไปกอดเธอแน่นๆ
“อุ๊ย ไม่ได้ค่ะที เหม็นเหล้าออกจะตาย ทีรีบไปอาบน้ำก่อนนะ” เจ้าสาวของเขาบ่น อันที่จริง วาทีแค่อยากจะเล่าว่า ในที่สุด ในอนาคต อีกไม่นาน หากไม่ทอดทิ้งความตั้งใจเสียก่อน เขานี่แหละ จะเป็นคนสำคัญของโลก ผู้สร้างไทม์แมชชีน เอ ตัวเขาตอนอายุ 70 ปี จะได้รางวัลโนเบลหรือเปล่านะ วาทีคิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เขาควรจะบอกวิภา หรือเก็บเป็นความลับดีล่ะ ว่าแล้ว ความเมาก็กลับมาครอบงำมโนสำนึกของเขาอีกครั้ง วาทีรีบเข้าไปเอาน้ำราดหัว น้ำเย็นๆ ทำให้เขายิ่งเข้าใจตัวเอง ตัวเองจากอนาคต ที่บอกว่า อย่าทอดทิ้ง แม้จะต้องใช้เวลานาน เขาก็จะไม่มีวันทอดทิ้งความฝันที่จะเป็นผู้สร้างไทม์แมชชีน
เช้าแล้ว เช้าวันแรกของการเป็นสามี-ภรรยาอย่างสมบูรณ์ วาทีตื่นขึ้นมามองไม่เห็นวิภาเสียแล้ว เขาหยิบมือถือมาดูเวลา อ้าว นี่มันไม่ใช่ตอนเช้า แต่บ่ายกว่าๆ แล้วต่างหาก เขานอนไปรวดเดียวยาวนานกว่าสิบชั่วโมง แล้วตอนนี้ ควรจะทำอะไรต่อ ประสาข้าวใหม่ปลามัน แต่สมองของเขาติดอยู่กับคำว่า “อย่าทอดทิ้ง” หากเขาอยากจะเป็นคนแรกของโลกที่สร้างไทม์แมชชีนได้ เขาก็ต้องรีบ เขาไม่อยากรอจนอายุ 70
พออาบน้ำเสร็จ เดินออกมาจากห้องนอน วาทีเห็นวิภานั่งดูโทรทัศน์อยู่ แต่บนโต๊ะอาหาร ก็ดูเหมือนจะถูกเตรียมอาหารเอาไว้หลายอย่าง เธอหันมามอง และยิ้มให้เขา
“ตื่นจนได้นะคะเจ้าบ่าว วันแรกก็เมาแประเลย วันหลังไม่เอาอย่างนี้แล้วนะ ภาไม่อยากให้ทีเมามากขนาดนี้”
เขาเดินเข้าไปกอดเธอไว้หลวมๆ ก่อนจะหอมแก้มเบาๆ
“ผมขอโทษจริงๆ นะ พอดีเมื่อคืนเพื่อนๆ มาเยอะมาก เลยดื่มเยอะไปหน่อย แต่สัญญา ต่อไปจะไม่ดื่มแล้ว” วาทีบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน อย่างที่ทำให้วิภาหลงรักเขามาเสมอ เธอลุกขึ้น ดึงสามีหมาดๆ ไปที่โต๊ะอาหาร
“ภาว่า มีเรื่องที่เราต้องจัดการในบ้านเยอะเลยค่ะ ภาเห็นหนูวิ่งแว๊บไป แว๊บมา ในห้องนอนเราตั้งหลายตัว แต่พอจะตามหา ก็หาไม่เจอ ภาว่า น่าจะมีรังหนูอยู่ในบ้านเรานี่แหละ เดี๋ยวต้องให้ทีจัดการซะหน่อย แต่ตอนนี้ ภาเตรียมทำของชอบของทีไว้เยอะเลย มาทานข้าวกันเถอะ ตั้งเกือบบ่ายสองแล้ว ทีน่าจะหิวแย่” พอได้ยินอย่างนี้ เขายิ่งรู้สึกผิด ที่ทำให้เจ้าสาวต้องมารอทานอาหาร เขารีบทานอย่างเร่งรีบจนวิภานึกประหลาดใจว่าทำไมสามีถึงได้ทำอะไรดูเร็วๆ ลวกๆ ขนาดนี้ แต่หลังทานอาหารแล้ว ก็ได้คำตอบ
“ภา ผมรู้ว่า เราเพิ่งแต่งงาน แล้วเราก็ลาพักร้อนไว้แล้ว แต่ผมมีงานด่วนที่ต้องรีบกลับไปเคลียร์ที่แล็ป ผมขอตัวก่อนนะ แล้วจะพยายามรีบกลับ” วาทีชิงเอ่ยปาก “อ้อ แล้วเรื่องหนูในห้องนอน เดี๋ยวว่างๆ ผมจะดูให้” วาทีตะโกนมาจากรถ
เขาพอจะมองเห็นแววไม่พอใจในสายตาภรรยา แต่ก็นั่นแหละ หากไม่ทอดทิ้งความฝัน และรีบลงมือ ความสำเร็จจะต้องมาเยี่ยมเขาก่อนอายุ 70 ปีเป็นแน่ ก็ตัวเขาเองในอนาคตบอกใบ้ไว้แล้วนี่ ว่าแนวคิดของเขาถูกต้อง เขาคิดว่า ถ้าสร้างเครื่องที่มีแกนตรงกลาง เอาคน หรือสัตว์ไว้ในที่นั่ง แล้วให้แกนกลางเหวี่ยงอย่างเร็ว เร็วจนเข้าใกล้ความเร็วแสง การเดินทางย้อนเวลาก็น่าจะทำได้ แต่การจะสร้างแรงเหวี่ยงให้เร็วได้ขนาดนั้น เขาไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไง เลยต้องใช้ความคิดให้หนัก
หลังแต่งงาน วาทีคร่ำเคร่งอยู่กับแนวคิดที่ว่า อย่าทอดทิ้งความฝัน และศึกษาเรื่องโลหะที่ควรใช้ในการสร้างเครื่องเหวี่ยง และศึกษาถึงพลังงานที่สามารถให้ความเร็วสูงในการเหวี่ยงอย่างเต็มที่ มันควรจะเป็นพลังงานปรมาณู เขาคิด แล้วก็คิด แต่ก็ยังไม่สามารถพัฒนาการเหวี่ยงอย่างรวดเร็วให้ได้ผล แต่ก็ได้ทดลองสร้างเครื่องเหวี่ยงขนาดเล็กที่พอใส่หนูทดลองเข้าไปได้
วาทีมีเวลาให้วิภาน้อยมาก แต่ถึงกระนั้น เธอก็ทำหน้าที่ภรรยาที่ดีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เธอดูเขาทุกอย่างด้วยดี ทั้งอาหารการกิน เสื้อผ้า ที่หลับที่นอน ทุกอย่างทำให้เขาไม่ต้องกังวลกับเรื่องทางบ้าน เขาใช้เวลาที่แล็ปวันละกว่าสิบห้าชั่วโมง จนกระทั่งวิภาบอกเขาว่า เธอตั้งท้อง ลูกของเขา ลูกเป็นคำที่วาทีรู้สึกถึงความอิ่มเอิบในหัวใจ เขาเปลี่ยนไป วาทีทำงานน้อยลง กลับบ้านเร็วขึ้น ให้เวลากับภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์เต็มที่ จนกระทั่งลูกคลอด เขาได้ลูกสาว “น้องฟ้า” ลูกสาวคนสวยผิวพรรณผ่องใสเป็นหัวแก้วหัวแหวนของเขา วาทีรู้สึกว่า ชีวิตช่างลงตัว เขามีภรรยาที่ดี มีลูกที่น่ารัก ชีวิตครอบครัวสุขสันต์สมบูรณ์แบบ พ่อแม่ลูกหัวเราะร่าอยู่ด้วยกันที่บ้าน หรือวันว่างก็ขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน เป็นความสุขที่เขาเกือบจะไม่มีเสียแล้ว หากมัวทำงานอยู่ และไม่มีลูกสาวมาดึงให้กลับมาสู่การเป็นครอบครัว
จนน้องฟ้าอายุได้ 3 ขวบ ในวันสงกรานต์ปีนั้น ลูกสาวของเขาพูดขึ้นมาว่า อยากไปเที่ยวสงกรานต์ นั่นเองที่ทำให้วาทีคิดได้ถึงคืนวันแต่งงาน “อย่าทอดทิ้ง” ตัวเขาเองในอนาคตเคยบอกเอาไว้ อย่างนี้นี่เอง เมื่อเขาติดใจในความสุขประสาผู้ชายที่มีครอบครัวสมบูรณ์พร้อม เขาก็ทอดทิ้งความฝัน
วาทีอยากตบหัวตัวเองแรงๆ เขาทอดทิ้งความฝันมาหลายปี เสียเวลาไปจนทำให้โครงการสร้างไทม์แมชชีนไม่เดินหน้า วาทีเริ่มกลับไปเฝ้าห้องแล็ป คิดค้นหาทางสร้างแรงเหวี่ยง มันคงไม่เป็นไรหรอก มีวิภาอยู่ดูแลน้องฟ้าอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหา แต่เขาอดไม่ได้ที่จะนึกโกรธ “ตัวเอง” ในอนาคต นี่ไอ้คนอายุ 70 ปี มันไม่คิดจะกลับมาแนะนำอะไรเลยจริงๆ หรือนี่ ปัดโธ๋เอ๊ย แค่กลับมาบอกกันนิดๆ หน่อยๆ จะเป็นอะไรไป
“ไอ้ทุเรศ 70” วาทีบ่นกับตัวเอง ก่อนจะเดินหน้าคิดหาสูตรที่เหมาะสมในการสร้างแรงเหวี่ยงต่อไป แล้วมันก็ได้ผล เขาสามารถพัฒนาพลังงานที่สร้างแรงเหวี่ยงความเร็วสูงจนเข้าใกล้ความเร็วแสงได้ เขาใส่หนูเข้าไปในเครื่อง ตั้งเวลาให้ย้อนกลับไปวันสงกรานต์ปี 2561 เสมอ วันแต่งงานของเขา วันที่ไอ้ทุเรศ 70 กลับมาหาเขา เมื่อแรงเหวี่ยงถึงจุดที่เหมาะสม ก็จะมีเสียงดับ “ฟึ่บ” หนูหายไปจากเครื่อง เขาพอจะนึกออก ที่วิภาเคยบอกว่า ในคืนวันแต่งงาน มีหนูอยู่ในห้องนอน มันต้องเป็นหนูทดลองของเขานี่แหละ แต่เจ้าหนูทดลองหายไปจากเครื่องได้ไม่นาน ประมาณ 5-10 นาที มันจะกลับมาทุกครั้ง แล้วก็...ตาย...
ปัญหา นี่แหละ ปัญหาใหญ่ เขาพอจะเข้าใจว่า ทำไมมันตาย สิ่งมีชีวิตไม่ว่าหนูหรือคน คงทนแรงเหวี่ยงขนาดนี้ไม่ไหว และเมื่อเขาผ่าศพพวกมันออกมาดู ก็ยิ่งเห็นคำตอบชัดเจนว่า อวัยวะภายในของพวกหนูทดลองแทบแหลกเหลว แต่ถึงกระนั้น มันย้อนเวลาได้แน่ๆ เขามั่นใจ เพียงแต่จะทำยังไงให้ย้อนเวลาได้นาน และทนแรงเหวี่ยงได้ หากย้อนเวลาสำเร็จ แต่กลับมาตาย มันก็ไม่อาจจะเรียกว่าสำเร็จ
เขาเข้าใกล้ความสำเร็จนั้นไปทุกที วาทีแทบจะไม่ได้กลับบ้าน เขาไม่อาจทอดทิ้งความฝัน ยิ่งมันเกือบจะสำเร็จอยู่แล้วขนาดนี้ เขายิ่งลุ่มหลงไทม์แมชชีนหนักขึ้น หันมามองอีกที ปีนี้ น้องฟ้าอายุ 12 แล้ว กำลังจะเข้า ม.1
“ทีคะ วันนี้ ลูกเข้า ม.1 วันแรก ทีจะไปส่งลูกด้วยกันไหม” วิภาถามด้วยน้ำเสียงเนือยๆ อันที่จริง เขาแต่งตัวเสร็จ เตรียมออกไปห้องแล็ปแล้ว แต่พอเธอทัก เขาก็หันมามอง วิภาดูทรุดโทรมลงไปมาก นานหลายปีแล้ว ที่เขาไม่ค่อยได้พูดอะไรกับเธอมากนัก งานอันเป็นความฝันสูงสุดของเขากำลังคืบหน้า เขาไม่อยากทอดทิ้ง ในขณะที่น้องฟ้า เติบโต และสวยขึ้นทุกวัน เขาดึงลูกเข้ามากอด
“ดีใจด้วยนะลูก ขึ้นมัธยมแล้ว ให้แม่ไปส่งนะ พ่อต้องรีบไปทำงาน” วาทีบอกลูกสาวเบาๆ เขารู้ หากเขารีบทำงานให้เสร็จ เมื่อไหร่ที่สร้างไทม์แมชชีนได้ เงินทอง ชื่อเสียง ทุกอย่างจะหลั่งไหลมาหาเขา และเขาจะตอบแทนวันเวลาให้ภรรยาและลูกทีหลัง
แต่ดูเหมือนวิภาจะไม่เข้าใจ ตอนดึก เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน บ้านที่ปิดไฟมืดต่างกับทุกวัน เขาเจอจดหมายที่วิภาทิ้งเอาไว้ บอกว่า เธอไม่สามารถทนอยู่กับคนบ้างานอย่างเขา เธอตัดสินใจพาลูกสาวย้ายโรงเรียนไปอยู่กับคุณตาคุณยายที่เชียงใหม่ นี่มันเป็นบ้าอะไรกันไปหมด วาทีนึกรำคาญใจ เขาก็แค่อยากทำงานให้เสร็จ งานที่เขาไม่สามารถทอดทิ้งได้ แล้วลูกกับเมีย ก็เป็นฝ่ายทิ้งเขาไปอย่างนั้นหรือ เอาเถอะ เขาไม่มีเวลาพอที่จะมาต่อล้อต่อเถียง เท่าที่เขาทดลอง เขาเชื่อว่า อีกไม่นาน เขาจะแก้ปัญหาไทม์แมชชีนเครื่องแรกของโลกได้
เมื่อไม่มีวิภา และน้องฟ้าอยู่ที่บ้าน วาทีก็แทบไม่กลับ เขากินนอนอยู่ที่แล็ป ทุ่มเททุกสรรพกำลังเพื่อไทม์แมชชีนของเขา ยิ่งมันสำเร็จเร็วเท่าไหร่ เขาก็จะได้ไปหาวิภา อยากบอกเธอว่า เขาไม่เคยหมดรักเธอ แต่เขาก็ไม่อยากรอจนความสำเร็จมาถึงในวัย 70
แต่จวบจนใกล้อายุ 60 ความสำเร็จก็ยังมาไม่ถึง น้องฟ้าเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว เขาไปร่วมงานรับปริญญาของลูก แต่วิภาไม่พูดกับเขาสักคำ ทำเอาเขาอดเคืองไม่ได้ เธอทิ้งเขา ทิ้งบ้านที่ซื้อไว้เป็นเรือนหอ แล้วหนีมาปักหลักอยู่เชียงใหม่ ในขณะที่เขาทำงานหามรุ่งหามค่ำ แล้วเธอยังมีหน้ามาโกรธเขาอีกหรือ
อีก 5 ปีต่อมา การทดลองยังแทบจะหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม หนูทดลองยังหายไปในอดีตได้เพียง 5-10 นาที แล้วกลับมาตายทั้งหมด ในขณะที่น้องฟ้าโทรมาหาเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“พ่อคะ แม่ตายแล้ว” แค่คำพูดสั้นๆ วาทีก็ชาไปหมดทั้งตัว วิภาตายแล้วหรือ เธอจะตายไปก่อนที่จะได้เห็นความสำเร็จของเขาได้ยังไง วาทีรีบขึ้นไปเชียงใหม่ บรรดาญาติๆ ของวิภาล้วนมองเขาอย่างไม่เป็นมิตร และในสายตาที่ไม่เป็นมิตรนั้น เขามองเห็นมันอยู่ในสายตาน้องฟ้าด้วย
“พ่อเสียใจนะลูก ที่แม่มาด่วนจากไปก่อน ทั้งๆ ที่พ่อมีอะไรอยากบอกแม่อีกเยอะ” วาทีเอ่ยกับน้องฟ้า
“แม่ก็คงมีอะไรอยากพูดกับพ่อเยอะเหมือนกันค่ะ แต่พ่อแทบไม่เคย เอาเป็นว่า ไม่เคยเลยดีกว่า พ่อไม่เคยมีเวลาให้แม่ ให้ฟ้า หรือให้ใครทั้งนั้น แต่เอาแต่ทำงาน แล้วทิ้งหนูกับแม่” น้องฟ้าตอบเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทำเอาวาทีตกใจ
“อะไรกันลูก พ่อไม่ได้ทิ้งลูกกับแม่สักหน่อย แม่ต่างหาก ที่พาลูกหนีมาอยู่ที่นี่ แม่เป็นฝ่ายทิ้งพ่อ หอบผ้าหอบผ่อน หอบลูก ทิ้งพ่อไว้คนเดียว”
“พ่อคิดอย่างนั้นจริงเหรอคะ ฟ้าว่า พ่อน่าจะทบทวนดู ว่าใครกันแน่ที่ทิ้งใคร พ่อเอาแต่ทำงาน ทอดทิ้งเราสองแม่ลูก เราไม่เคยอยู่ด้วยกัน พ่อไม่เคยร่วมเป่าเค้กวันเกิดฟ้า พ่อไม่เคยไปโรงเรียนฟ้าตอนวันพ่อ พ่อไม่เคยฉลองวันครบรอบแต่งงานกับแม่ พ่อทอดทิ้งเราเพื่องานเสมอ บ้านไม่เคยเป็นบ้าน ฟ้าพูดแค่นี้ หวังว่าพ่อจะได้คิด แต่แม่ตายแล้ว มันก็สายไปแล้วค่ะพ่อ พ่อทอดทิ้งเรา ทิ้งแม่ให้ตายอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีสามีที่ดีมาดูแลยามป่วยไข้” ฟ้าร้องไห้หนัก แล้ววาทีก็ได้คิด ใช่สิ เขาเอง เขาที่เป็นคนทอดทิ้งลูก ทิ้งเมียไว้ที่บ้าน ใช้ชีวิตที่ไม่ประสบความสำเร็จอยู่ในห้องแล็ป
นี่เขาพลาดอะไรไปบ้างนะ พลาดวันเกิดลูกไปกี่หน พลาดวันครบรองแต่งงานไปกี่ครั้ง ถึงตอนนี้เอง เขาถึงได้เข้าใจความหมายของไอ้ทุเรศ 70 ที่มาบอกเขาว่า “อย่าทอดทิ้ง” ใช่สิ ถ้าเขาทำได้ เขาจะเข้าไปในไทม์แมชชีน กลับไปที่วันแต่งงาน 13 เมษายน 2561 เพื่อบอกกับตัวเองว่า พยายามยังไง เขาก็สร้างไทม์แมชชีนที่สมบูรณ์ไม่สำเร็จ ดังนั้น ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทอดทิ้งครอบครัวอันเป็นที่รักของเขา
“อย่าทอดทิ้ง” นี่คือสิ่งที่ไอ้ทุเรศ 70 บอกเขา ว่าอย่าทอดทิ้งครอบครัว
น้ำตาของผู้ชายวัย 65 ปีไหลริน เขาแก้ไขอะไรไม่ได้ วิภาตายไปแล้ว แต่เขาจะไม่หมดหวัง วาทีกลับไปห้องแล็ป สร้างเครื่องเหวี่ยวขนาดใหญ่ที่ใส่คนเข้าไปได้ ต่อไปนี้ สิ่งที่เดินทางจะไม่ใช่หนูทดลอง แต่เป็นตัวเขา ตัวเขาเองที่จะต้องกลับไปบอกวาทีในวัยหนุ่ม และคราวนี้ ต้องบอกให้ชัดเจน บอกไปเลยว่า “อย่าคิดสร้างไทม์แมชชีน” เพราะมันไม่มีทางสมบูรณ์ ไม่ว่าหนูทดลอง หรือมนุษย์ ไม่สามารถทนแรงเหวี่ยงระดับนี้ได้ แต่เขาต้องทำ ต้องกลับไปเพื่อเปลี่ยนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ครอบครัวของเขา
วาทีนึกถึงช่วง 3 ปีแรกที่มีน้องฟ้า เขามีควมสุขเหลือเกิน หากเขาไม่ทอดทิ้งครอบครัวมามัวสร้างไทม์แมชชีน ครอบครัวของเขาก็จะมีความสุข และผู้หญิงที่เขารัก จะไม่ตายอย่างโดดเดี่ยวอย่างนี้
ด้วยเครื่องที่ขนาดใหญ่ขึ้น มันยากขึ้นที่จะใช้พลังงานสร้างแรงเหวี่ยงได้ตามที่ต้องการ เขาใช้เวลาอีกนาน จน 5 ปีผ่านไป เครื่องไทม์แมชชีนขนาดใหญ่ของเขาถึงสร้างแรงเหวี่ยงความเร็วสูงใกล้ความเร็วแรงได้ และเขานี่แหละ ที่จะเข้าไปในเครื่อง กลับไปคืนวันแต่งงาน เขารู้ว่า มีเวลาไม่กี่นาที และตอนนั้น เขาบอกไม่ละเอียด คราวนี้ เขาจะบอกให้ชัด
13 เมษายน พ.ศ.2561 คืนวันแต่งงานของวาที กับวิภา
ในชุดเจ้าบ่าวสีขาวที่ตอนนี้มีรอยเปรอะเป็นด่างดวง วาทีนั่งคอพับอยู่บนเตียง วิภาในชุดเจ้าสาวที่ยังขาวสะอาดมองมาอย่างระอา
“ไหวไหม..ที” วิภาแตะบ่าเจ้าบ่าวเบาๆ ทำเอาสามีป้ายแดงหงายผลึ่งลงไปบนเตียง วิภาส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะพึมพำบอกเขาว่า ขอตัวไปอาบน้ำก่อน แต่ก็ไม่วายที่จะหันไปหยิบผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำ มาเช็ดหน้าเช็ดตาให้วาทีสักหน่อยก่อนที่จะเดินลับตาเข้าห้องน้ำไป
“ผมขอโทษ ขอโทษนะกร้าบบบบบ” วาทีลากเสียงอ้อแอ้ “ขอโต๊ดที่ดื่มหนักไปโหน่ยยย เพื่อนมาเย้ออออ เลยยย” วาทีลากเสียง และตอนนั้นเอง ก็มีเสียงดัง “ฟึ่บ”
ตรงข้างเตียงนอนนั้น มีชายชราคนหนึ่งยืนอยู่ และเอ่ยปากออกมาอย่างลุกลี้ลุกลน
“อย่าตกใจ นี่ฉันเอง ฉันมีเวลาไม่มาก” ชายชราพูด วาทีดันตัวเองขึ้นมานั่ง ก่อนจะลุกขึ้นมายืนเผชิญหน้ากับชายชราที่จู่ๆ ก็โผล่มากลางอากาศ
“เออ นายอาจจะไม่เข้าใจ แต่นี่คือฉัน ฉันคือนาย เอ่อ จะให้พูดยังไงดี ฉันก็ตกใจเหมือนกันที่โผล่มาตรงนี้จนได้ ฉันตั้งเวลาเอาไว้เสมอ ให้ย้อนอดีตกลับมาคืนวันแต่งงานของฉัน..ก็..ของนายด้วยนั่นแหละ ฉันจำได้แม่น วันสงกรานต์ปี 61 แนวคิดด้านฟิสิกส์ของฉัน เออ ก็ของนายนั่นแหละ มันได้ผล ไอ้เรื่องแรงเหวี่ยงนั่น มันได้ผลจริงๆ” ชายชรายังพล่ามไม่หยุด
“เดี๋ยวนะ อีกทีซิ คุณบอกว่า คุณย้อนอดีตกลับมาอย่างนั้นเหรอ ผมฟังไม่ผิดใช่ไหม” วาทีวัยหนุ่มถาม
“ใช่ ฉันพูดอย่างนั้นแหละ ฉันย้อนอดีตกลับมา และอย่างที่บอกแต่แรก ฉันก็คือนาย นายก็คือฉัน ฉันคืออนาคตของนายในอีกเกือบ 40 ปีข้างหน้า ตอนนี้ ฉันอายุ 70 แล้ว และฉันเพิ่งจะประสบความสำเร็จในการสร้างไทม์แมชชีนได้เป็นคนแรกของโลก” ชายชราพูดเร็วปรื๋อ
“ห่ะ จริงเหรอ คุณ..เอ่อ..คือ ผม ผมเป็นคนสร้างไทม์แมชชีนได้ในที่สุดเหรอ” วาทีตื่นเต้นจนแทบหัวใจกระตุก แต่ตั้งอายุ 70 ปีเลยหรือ มันคงจะนานไปหน่อย แล้วสมองของเขาก็คิดอย่างรวดเร็วว่า ก็ถ้าเขาสร้างไทม์แมชชีนได้ตอนอายุ 70 ปี แล้วกลับมาหาตัวเองได้ตอนอายุ 32 ปีในตอนนี้ ไอ้ตัวเขาคนที่อายุ 70 ก็น่าจะบอกวิธีการสร้างมันมาเลยซิ เขาจะได้เร่งเวลา สร้างไทม์แมชชีนให้ได้เลยในวันพรุ่งนี้นี่แหละ
”ฉันรู้..ฉันรู้ ว่านายคิดอะไรอยู่ แต่ฉันมีเวลาไม่มาก เครื่องที่ฉันสร้างขึ้น น่าจะย้อนเวลาได้แค่ประมาณ 5-10 นาทีเท่านั้น” ว่าแล้ว วาทีวัยชราก็ตรงเข้ามาล็อคคอปิดปากวาทีวัยหนุ่มไว้ เขาปล่อยให้ไอ้หนุ่มนี่พูดมากจนเสียเวลาไม่ได้
“ฉันมีเรื่องจะบอกนาย มันสำคัญกับชีวิตของเรามาก ฉันอยากบอกนายว่า อย่า อย่าสร้างไทม์แมชชีนเด็ดขาด มันไม่คุ้มหรอก จำไว้ อย่าสร้างไทม์แมชชีน....” วาทีในวัยชราชิงพูดเร็วรวดเดียว เพราะรู้ว่า ตัวเองมีเวลาไม่นานนัก เพียงเท่านั้นเอง ร่างของชายชราก็กลายเป็นเงาจางๆ และเลือนหายไป เหมือนตอนที่โผล่มาไม่มีผิด
วาทีในวัย 70 ปีรู้สึกเหมือนโดนดูดด้วยแรงมหาศาล กลับมาสู่เวลาของเขา ในขณะที่แรงเหวี่ยงกำลังสูงเล่นงานเขาอย่างที่คิดเอาไว้ เส้นเลือดในตัวเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ร่างกายของเขากำลังจะระเบิด ชายชราจะกลับไปยังเวลาที่จากมา ความเจ็บปวดทั่วทั้งอณูของชีวิตที่ใกล้แตกสลายทำให้เขาเจ็บปวดอย่างหนัก เป็นความเจ็บปวดมหาศาลอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันจะทรมานได้ขนาดนี้ แต่ท่ามกลางความรวดร้าวอย่างหาที่สุดไม่ได้นี้ วาทียังสุขใจ เขาเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้แน่ๆ ก็เขาบอกไอ้วัยหนุ่มแล้วว่า อย่าสร้างไทม์แมชชีน วาทีวัย 70 ปี ยิ้มให้ตัวเองอย่างเปี่ยมสุข เมื่อเขาจากมา และตายคาเครื่องที่เขาสร้างขึ้น ชีวิตในอดีตของเขาจะเปลี่ยนไป ครอบครัวจะยังเป็นครอบครัว เขาจะเป็นสามีที่ดี เป็นพ่อที่ยอดเยี่ยมให้น้องฟ้า รอยยิ้มยังติดอยู่ที่ริมฝีปากของเขา ในตอนที่ร่างไร้ลมหายใจกลับมาสู่เวลาเดิม
13 เมษายน พ.ศ.2561 คืนวันแต่งงานของวาที กับวิภา
วิภาเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว วาทีเดินตรงรี่เข้าไปกอดเธอแน่นๆ
“อุ๊ย ไม่ได้ค่ะที เหม็นเหล้าออกจะตาย ทีรีบไปอาบน้ำก่อนนะ” เจ้าสาวของเขาบ่น อันที่จริง วาทีแค่อยากจะเล่าว่าเพิ่งเกิดเรื่องประหลาดขึ้นในห้องนอน แต่ความเมาก็กลับมาครอบงำมโนสำนึกของเขาอีกครั้ง วาทีรีบเข้าไปเอาน้ำราดหัว น้ำเย็นๆ ทำให้เขาพยายามนึกว่า ตัวเองจากอนาคตบอกอะไร “อย่าสร้างไทม์แมชชีน” งั้นเหรอ
“ไอ้บ้า ในที่สุด ฉันในอนาคต ก็เป็นคนแรกของโลกที่สร้างไทม์แมชชีนได้ แล้วทำไม ฉันจะต้องไม่สร้างล่ะ ทฤษฎีแรงเหวี่ยงของฉันทำได้จริง แล้วตั้งแต่พรุ่งนี้ ฉันจะรีบเข้าห้องแล็ปไปสร้างไทม์แมชชีนให้เสร็จเร็วๆ ถ้ารู้แล้วว่าทฤษฎีของฉันคือคำตอบ อีกไม่กี่ปี มันต้องสำเร็จแน่ ไอ้ตัวฉันที่อายุ 70 มันบ้าไปแล้ว ถ้าทำได้ ใครล่ะ จะไม่อยากสร้างไทม์แมชชีน” วาทีพึมพำกับตัวเอง ว่าแล้วก็เหลือบไปเห็นอะไรสักอย่างวิ่งผ่านหางตาไป พอจ้องอีกทีก็แน่ใจว่าเป็นหนูแน่ๆ นี่มีหนูอยู่ในเรือนหอของเขาด้วยหรือนี่ เห็นทีต้องให้วิภาซื้อกับดักหนูมาสักหน่อย
แต่ที่แน่กว่านั้นก็คือ ในวันรุ่งขึ้น และวันต่อๆ ไป ชีวิตของวาที ก็จมอยู่กับการสร้างไทม์แมชชีนอยู่เสมอ
ก็เขาจะเป็นคนแรกของโลกที่ทำสำเร็จนี่นะ แล้วจะเลิกคิดไปกลางคันได้ยังไงกันล่ะ จริงไหม?
หมายเหตุผู้เขียน
เรื่องนี้ ออกแนววิทยาศาสตร์หน่อยๆ แต่ส่วนตัวคิดว่า เป็นเรื่องสั้นแนวครอบครัว ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก โดราเอมอน อืมม์..หรือจะว่าไป แรงใจทั้งหมด มาจากจาก อ.เอฟ ผู้เขียนโดราเอมอน ที่เป็นฮีโร่ของเรามากกว่า
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2563
เรื่องสั้น : ฉันรอ..ที่มอหินขาว
![]() |
มอหินขาว ชัยภูมิ |
ค่อนข้างดึกแล้ว ตอนที่ “ต้น” กำลังจะล้มตัวลงนอน และมองเห็นลำแสงประหลาดนั่นมาจากด้านล่าง
พูดถึงความประหลาด ต้นเองก็เป็นคนประหลาดเหมือนกัน ที่มักจะมากางเต็นท์นอนในป่าของ “อุทยานแห่งชาติภูแลนคา” นี่เป็นประจำ จะว่าไป ที่นี่ก็เป็นสถานที่ยอดฮิตของเหล่านักนิยมธรรมชาติ ทำให้มีคนมากางเต็นท์นอนกันบ่อยๆ แต่มักจะเป็นในช่วงฤดูหนาวที่อากาศเป็นใจ และมีเมฆหมอกปกคลุมดูงามตา แต่ในฤดูฝนอย่างนี้ นอกจากต้น ก็ไม่มีใครมากางเต็นท์นอนที่นี่อีก แต่ด้วยเรื่องเล่าในครอบครัวของเขาที่สืบต่อกันมา บวกกับความชอบส่วนตัว ทำให้ต้นมากางเต็นท์นอนที่นี่ได้อย่างไม่เคยเบื่อ
ต้นส่ายหัว เมื่อนึกถึงเรื่องเล่า ที่ทั้งปู่ ทั้งพ่อ ต่างก็ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ว่าเมื่อนานมาแล้ว ต้นตระกูลของเขาที่ปักหลักกันอยู่ที่ “ชัยภูมิ” มานานนม เคยขึ้นมาเจอนางฟ้าบนภูแลนคาแห่งนี้ และเหล่านางฟ้าบอกว่า จะกลับมาอีกครั้ง ต้นเองก็ไม่รู้ว่า เรื่องเล่านี่ เป็นเพียงจินตนาการประหลาดๆ ในครอบครัวเขาหรือเปล่า แต่ความที่เป็นคนชอบธรรมชาติอยู่แล้ว ต้นเลยไม่เกี่ยงงอนอะไร กับการมากางเต็นท์นอนที่นี่เรื่อยๆ
แต่แสงประหลาดนั่นก็แยงตาเขา!
ต้นมุดออกมาจากเต็นท์ มีแสงสีทองเรื่อๆ พุ่งขึ้นมาจริงๆ ทำเอาต้นนึกประหลาดใจ ว่าแล้ว เขาคว้ากุญแจรถ ขับออกจากอุทยานแห่งชาติภูแลนคา ลงไปด้านล่าง
รถคู่ใจของเขาถูกบึ่งลงจากภูเขามาเร็วกว่าปกติ เพียงไม่กี่นาที ก็มาถึงจุดต้นกำเนิดของแสงสีทองนั่น ตรงนั้นเอง ที่ “มอหินขาว” !
ต้นเปิดประตูรถออกมาอย่างรวดเร็ว นี่มันอะไรกัน มอหินขาว ก้อนหินใหญ่ 5 ก้อนที่เขาเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย จุดสำคัญที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของชัยภูมิ ที่ผู้คนต่างขนานนามว่าเป็นสโตนเฮนจ์เมืองไทย ตอนนี้ ก้อนหินใหญ่หายไปก้อนหนึ่ง เหลือเพียงก้อนหิน 4 ก้อนที่ตั้งตระหง่านในที่เก่าเหมือนที่พวกมันเคยอยู่มาแล้วเป็นล้านๆ ปี แต่หินก้อนใหญ่ที่สุดหายไป
![]() |
มอหินขาว ชัยภูมิ |
ต้นกระพริบตาถี่ๆ พลางสบถกับตัวเอง “นี่มันอะไรกันว่ะ” ก้อนหินยักษ์ใหญ่ของมอหินขาวจะหายไปได้ยังไง ที่สำคัญที่สุด จุดที่ก้อนหินใหญ่หายไปนั่นแหละ คือจุดที่เป็นต้นกำเนิดของลำแสงสีทองอร่าม พุ่งขึ้นไปบนฟ้า แสงที่เขาเห็นมาจากภูแลนคา
ด้วยความกลัวอยู่ลึกๆ แต่ความประหลาดและตื่นเต้นมีมากกว่า ต้นเดินอย่างช้าๆ เข้าไปหาลำแสงนั้น เขาเดินก้าวผ่านข้ามรั้วเตี้ยๆ ที่เจ้าหน้าที่กั้นบริเวณเอาไว้ เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปทำลายก้อนหิน เดินผ่านเข้าไปจนถึงที่ๆ เคยเป็นจุดตระหง่านของก้อนหินใหญ่ ลำแสงสีทองนั้นจ้าขึ้นเรื่อยๆ จนแสบตา ว่าแล้ว ต้นก็หล่นฮวบลงไปอย่างตั้งตัวไม่ติด
“พลั่ก” เสียงก้นกบของชายหนุ่มกระแทกพื้นดังลั่น เจ้าตัวอุทานอย่างเจ็บปวด แต่ความเจ็บนั้นก็มลายไปโดยพลัน เมื่อเทียบกับความมหัศจรรย์ที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า ต้นหล่นลงมาในห้องลับที่เคยถูกปิดไว้ด้วยก้อนหินใหญ่แห่งมอหินขาว ภายในห้องลับนี้ มันทำให้เขานึกถึงนิยายวิทยาศาสตร์ที่เขาเคยอ่าน ห้องทรงกลมขนาดค่อนข้างใหญ่เต็มไปด้วยอุปกรณ์เครื่องมือหน้าตาแปลกๆ และหน้าจอที่เป็นภาพของสถานที่สำคัญๆ ของโลกเต็มไปหมด แต่ที่ประหลาดเหนือสิ่งอื่นใด คือ “ผู้หญิงคนนั้น”
ผู้หญิงที่ยืนทำสีหน้าตกใจอยู่หน้าจอ เป็นผู้หญิงที่ต้นรู้สึกถึงคำแรกที่แว่บขึ้นมาในหัวว่า “สวย” แต่คำที่ 2 ที่แว่บตามขึ้นมาคือ “แปลก”
ใช่ซิ เธอดูแปลกไปหมด ตั้งแต่เรื่องที่ว่า ทำไมเธอถึงมาอยู่ตรงนี้ ในห้องลับใต้ก้อนหินใหญ่ของมอหินขาว ผู้หญิงผิวสี..อืมม์ เขาจะบอกว่าเธอมีผิวสีอะไรดี ถ้าจะบอกว่าเธอเป็นสาวผิวคล้ำ มันก็ไม่เชิงอย่างนั้น แต่ออกจะเป็นสีทองแดงมากกว่า เธอใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น ผ้าสีทองมันเงา ดูบางเบาจนมันเหมือนจะลอยพริ้วรอบตัวเธอ
“เอ่อ..สวัสดีครับ” ต้นไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่านี้ ในขณะที่ยันตัวเองลุกขึ้นยืนอย่างเก้อเขิน ก็แหม ฉากที่พระเอกมาพบนางเอกทั้งที เขาดันหล่นลงมานอนอย่างหมดท่าซะนี่
สาวแปลกหน้าทำสีหน้าที่ดูเหมือนค่อนข้างจะกระอักกระอ่วน แต่เพียงแว่บเดียว เธอก็ส่งยิ้มให้เขา ก่อนจะเอ่ยถาม
“คุณมาที่นี่ได้ยังไงคะ” สำเนียงของเธอฟังแปล่งมากทีเดียว เหมือนคนต่างชาติที่พูดไทยไม่ชัด แต่ในอีกมุมหนึ่ง ต้นอดเย็นยะเยียบที่หลังคอไม่ได้ เมื่อนึกได้ว่า สำเนียงของเธอ ไม่ใช่เหมือนสำเนียงคนต่างชาติที่เขาได้ยินบ่อยๆ จากพวกนักท่องเที่ยวที่มาเยือนชัยภูมิ แต่มันเหมือน...เหมือนเสียงสังเคราะห์จากโลหะ
“ผม..ผม..” เอาล่ะซิ ถึงตอนนี้ เขาชักจะตอบไม่ถูก แต่ก็กลั้นใจตอบไปจนได้ “ผมนอนอยู่ด้านบนครับ ตรงภูแลนคา แล้วเห็นแสงสีทองออกมาจากตรงนี้ ผมเลยขับรถลงมาดู พอเดินมา ก็ตกลงมาตรงนี้แหละ ว่าแต่ คุณเป็นใคร ทำไมถึงมีห้องอะไรอยู่ตรงนี้ แล้วก้อนหินใหญ่หายไปไหน” พอตั้งสติได้ ต้นก็ส่งคำถามยาวเหยียด
สาวผิวสีทองแดงตรงหน้าเขาทำหน้าลำบากใจ เธอหยุดคิดเล็กน้อย มองเขาอย่างพิจารณาใคร่ครวญ ก่อนจะตอบด้วยท่าทีระมัดระวัง
“ฉันชื่อนิรา” เอาล่ะ ทีนี้ เขาก็รู้ชื่อของเธอแล้วเป็นลำดับแรก “ฉัน..เอ่อ...” กลายเป็นว่า เธอเป็นฝ่ายติดอ่างต่อจากเขา
“คือ ผมถามว่าคุณเป็นใคร ทำไมถึงมีห้อง แล้วก้อนหิน...”
“ฉันมาจากนอกโลก” เธอชิงตอบก่อนที่เขาจะทวนคำถามจบ เอาล่ะซิ ในนาทีนี้ ต้น และนิรา ยืนมองหน้ากันอย่างลำบากใจ สำหรับต้น คำตอบของเธอมันไม่แปลก หากเธอไม่ตอบอย่างนี้ซิ คงจะแปลกกว่า เขาลองลำดับเหตุการณ์อย่างเร็วๆ ในสมอง ถ้างั้น เธอก็เป็นมนุษย์ต่างดาว แล้วที่นี่ มอหินขาว ก้อนหิน 5 ก้อนที่นักท่องเที่ยวเห็นเป็นของแปลก ก็แปลกจริงๆ ในแง่ที่ว่า อันที่จริงแล้ว มอหินขาว เป็นยานอวกาศ!
เอ หรือจะไม่ใช่ ก็มอหินขาวเป็นเพียงก้อนหินขนาดใหญ่ 5 ก้อนที่มีรูปร่างต่างๆ และมีการศึกษาว่า มันเกิดขึ้นมาแล้วตั้งประมาณ 65 ล้านปี ตระหง่านอยู่ที่นี่ก่อนที่จะมีมนุษย์ ก็ตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์ยังครองโลกนั่นแหละ พวกนักธรณีวิทยากับนักอะไรต่อมิอะไรมาศึกษากันให้พรุนไปหมดแล้ว แล้วหิน 5 ก้อนจะกลายเป็นยานอวกาศได้ยังไง ที่สำคัญ เขาเห็นมอหินขาวมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย มันก็ไม่เคยจะเคลื่อนที่ไปไหน ยกเว้นวันนี้นี่แหละ ที่เขาเห็นกับตา ว่าหินก้อนที่ใหญ่ที่สุดหายไป แล้วเธอ..นิรา..เธอตอบเขาเต็มปากเต็มคำว่าเธอมาจากนอกโลก
ฝ่ายนิราเอง เธอไม่แน่ใจนักว่าจะทำยังไงกับชายชาวโลกคนนี้ เขาก็ดูซื่อๆ แต่ถ้าเธอบอกทุกอย่างให้เขาฟัง เขาจะตกใจไหม แต่ถ้าไม่บอก แล้วจะทำยังไง เขาก็ “หล่น” ลงมาเห็นเกือบทุกอย่างแล้วนี่
ชายหนุ่มกับหญิงสาวจากดาวคนละดวงยืนเผชิญหน้ากันอย่างค่อนข้างตื่นตะลึงทั้งสองฝ่าย ก่อนที่นิราจะตัดสินใจ
เธอเดินเข้ามาใกล้เขาอีก 2 ก้าว ก่อนที่จะเล่าเรื่องมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิตให้เขาฟัง
“คุณต้องตั้งสติดีๆ นะ เรื่องที่ฉันจะเล่าให้คุณฟัง มันอาจไม่น่าเชื่อ” เธอเริ่มพูด ในขณะที่ต้นนึกในใจว่า มาถึงขนาดนี้แล้ว จะบอกอะไรมาก็คงต้องเชื่อทั้งนั้นแหละวะ “ฉันมาจากดาวที่อยู่ไกลจากโลกมาก บ้านของฉันชื่อดาวไทม์ ฉัน..เอ่อ หมายถึง พวกของฉัน เรามีอารยธรรมที่เหนือกว่าโลกของคุณมาก เรามียานอวกาศ และออกสำรวจอวกาศมาตั้งหลายร้อยปีแล้ว จนเรามาเจอโลกของคุณ” นิราเริ่มเรื่องของเธอ
พวกแรกจากดาวไทม์สังเกตเห็นดาวหางดวงใหญ่ที่เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ดาวดวงที่ 3 ของสุริยะจักรวาล พวกเขาเลยตามมาดูห่างๆ แล้วก็พบว่า ดาวดวงที่ 3 นี้ เป็นอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ยักษ์หลายประเภท พวกมันมีทั้งที่เหมือนสัตว์เลื้อยคลาน แต่ก็มีบางสปีชีส์ที่มีลำตัวตั้งตรงได้ แต่จากการสังเกตอยู่ห่างๆ พวกเขาก็พบว่า ดาวหางได้พุ่งชนดาวดวงที่ 3 นี้เข้าอย่างจัง จนเกิดภาวะวิกฤติ สิ่งมีชีวิตต่างๆ เริ่มล้มตายไปอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นเอง ที่เหล่านักสำรวจของดาวไทม์ตัดสินใจลงจอดบนโลก และจุดแรกที่พวกเขามาจอด คือบริเวณนี้ ที่ปัจจุบันคือเนินเขาของจังหวัดชัยภูมิ
“ตอนนั้นแหละ เป็นยุคที่พบคุณเรียกกันว่า ช่วงการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์” นิราบอก
“โอ้โห นี่พวกคุณมากันตั้งแต่ 65 ล้านปีก่อนเลยเหรอ” ต้นอุทานอย่างตื่นตระหนก
“65 ล้านปีเหรอ” นิราทำหน้าประหลาดใจ “ฉันไม่คิดว่ามันยาวนานขนาดนั้นนะ ก็มันเพิ่งผ่านมาไม่นานเท่าไหร่นี้เอง แต่เอาเถอะ ฉันพอจะเข้าใจว่า ระบบนับเวลาของเราไม่เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ หลังจากนั้น เราก็คิดว่า เราควรจะตั้งสถานีสำรวจไว้บนดาวของคุณ” นิราเล่าต่อ
คณะสำรวจของดาวไทม์ ทำเหมือนกับที่พวกเขาทำที่ดาวดวงอื่นๆ ที่พวกเขาเคยสำรวจ คือ ขุดลึกลงไปในพื้นดินบนภูเขา สร้างห้องลับที่มีอุปกรณ์รับสัญญาณจากทั่วดวงดาวเอาไว้ ก่อนจะปิด ปกคลุม “ห้องแล็ป” นี้ด้วยสิ่งที่ดูเหมือนธรรมชาติ แต่โดดเด่นพอที่พวกเขาจะกลับมาหาห้องแล็ปนี้พบ พวกเขาตัดสินใจสร้างก้อนหินใหญ่ 5 ก้อนนี้ขึ้น เพื่อเป็นทั้งจุดสังเกต และเป็นทั้ง “เสาส่งสัญญาณ” ไปยังดวงจันทร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งเสารับสัญญาณข้อมูล ก่อนจะส่งต่อไปยังสำนักวิจัยอวกาศของดาวไทม์ ทำให้สำนักวิจัยอวกาศสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงบนดาวดวงที่ 3 นี้ได้ตลอดเวลา
“ระหว่างนั้น พวกเราก็ยังมาที่นี่เรื่อยๆ บางทีก็มาเพื่อสำรวจพืชพรรณธรรมชาติ แต่ก็มีบางครั้งที่มาเพื่อปรับปรุงห้องแล็ปนี้ให้ทันสมัยขึ้น ครั้งล่าสุด ที่พวกเรามา คนที่มาคือแม่ของฉันเอง ตอนที่แม่กลับไป แม่ยังเล่าติดตลกว่า บังเอิญมาเจอมนุษย์ที่นี่ และสัญญาณจากห้องแล็ปนี้ จะถูกส่งไปที่ดวงจันทร์ทุกคืนในวันที่พระจันทร์เต็มดวง และสัญญาณจะเข้มเป็นพิเศษ ในวันที่พระจันทร์เข้ามาใกล้โลก พวกคุณเรียกมันว่าอะไรนะ เหมือนฉันจะเคยอ่านเจอ ว่าพวกคุณเรียกวันที่ดวงจันทร์เข้ามาใกล้โลกของคุณว่าวันซูเปอร์มูน ใช่ไหม” นิราย้อนถาม
“ห่ะ อะไรนะ” ต้นไม่ได้ถาม เขาเพียงแค่ไม่รู้จะพูดอะไรดี กับสิ่งที่ยืนฟังมาพักใหญ่ มันชักเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการตามได้ เหมือนสมองของเขายังตามไม่ทัน อ้อ เธอถามเขานี่นะ ว่ามันเรียกว่าซูเปอร์มูนหรือเปล่า “เอ่อ..ครับ ใช่ ซูเปอร์มูน วันที่พระจันทร์เข้ามาใกล้โลก” ต้นตอบออกไปจนได้
“นั่นแหละ คือวันที่เสาส่งสัญญาณที่เราสร้างไว้ที่นี่จะส่งสัญญาณความเป็นไปของโลกของคุณให้เราเห็นได้เข้มกว่าปกติ แต่ที่ผ่านมาราวสัก 10 วันมาแล้ว ที่เราไม่ได้รับสัญญาณ เราเลยคิดว่า น่าจะมีอุปกรณ์อะไรสักอย่างเสียหาย ฉันก็เลยถูกส่งมาที่นี่ ฉันใช้เวลาขับยานอวกาศมา 2 วัน ก็ถึงแล้ว แล้วก็เข้ามาในห้องแล็ปลับนี่ แล้วคุณก็ตกลงมา ทำเอาฉันตกใจแทบแย่” นิราพูดยิ้มๆ โธ่เอ๋ยแม่คุณ ถ้าเธอตกใจ แล้วต้นมิยิ่งตกใจมากไปกว่าอีกเหรอ มนุษย์ต่างดาวมีห้องแล็ปลับอยู่ใต้มอหินขาวเนี่ยนะ ว่าแล้ว ต้นก็เริ่มกังวล ที่เขาเคยอ่านนิยายวิทยาศาสตร์มา หากใครเจอมนุษย์ต่างดาว เดี๋ยวพวกองค์กรลับของสหรัฐอเมริกาก็จะจับไปล้างสมอง แต่ที่นี่ ชัยภูมิ ไม่ใช่สหรัฐอเมริกาสักหน่อย เอ หรือนิรานี่แหละ ที่จะฆ่าปิดปากเขา เมื่อคิดถึงตรงนี่ ต้นอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปจนชิดกำแพงห้อง
นิราถลาเข้ามาหาเข้าอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้นตื่นตระหนกมากขึ้นไปอีก นี่เธอคงต้อง “เก็บ” เขาแน่ๆ เพื่อไม่ให้ความลับนี้เปิดเผย ต้นไม่มีที่จะถอยอีกแล้ว เขาหลังพิงฝา พร้อมยกมือขึ้นมาตั้งการ์ดที่หน้าอก พร้อมป้องกันตัวเต็มที่ อย่างมาก วันนี้ก็ได้ชกผู้หญิงล่ะวะ ว่าแต่ เธอเป็นผู้หญิงจริงหรือเปล่า พวกมนุษย์ต่างดาวนี่ มีหญิงมีชายเหมือนคนบนโลกหรือเปล่านะ
นิราเขามาถึงตัวแล้ว ต้นหลับตาปี๋ ในขณะที่นิราดึงเขาออกมาจากผนัง พร้อมขึ้นเสียงดัง
“นี่คุณจะบ้าเหรอ คุณไปชนผนังห้องได้ยังไง ในนี้มีแต่เครื่องยนต์กลไก ฉันยิ่งกำลังมองหาอยู่ว่าอะไรมันเสีย จะได้ซ่อม แล้วนี่คุณยังไปโดนเครื่องมือของฉันอีก บ้าเอ๊ย” นิราตะโกนลั่นในขณะที่ดึงต้นมายืนกลางห้อง แหม มนุษย์ต่างดาวก็สบถเป็นด้วยแฮะ ท่าทางเธอไม่ต่างอะไรกับมนุษย์โลกเลยสักนิด แต่ถึงกระนั้น เวลาโกรธ เขาก็ยังมองเห็นว่าเธอสวย ใช่..นิราเป็นผู้หญิง เอ๊ย ไม่สินะ เป็นมนุษย์ต่างดาวที่สวยชะมัด
ต้นยืนงงอยู่กลางห้อง พลางมองผนังที่เขาพิงเมื่อกี้ มันก็เหมือนส่วนอื่นๆ ของห้อง คือมีปุ่มอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด ตอนนี้ นิรากำลังสำรวจปุ่มพวกนั้นอย่างเอาจริงเอาจัง ต้นได้แต่ยืนมอง จนเวลาผ่านไปสักพัก เธอก็ทำสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างที่เขาคาดเดาไม่ถูก
“เอาล่ะๆ ฉันเห็นแล้ว เครื่องส่งสัญญาณของเราเสียนั่นเอง น่าแปลกนะ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะเสียได้ เราตั้งเครื่องแบบนี้ไว้หลายแห่งบนโลกของคุณ และในอีกหลายๆ ดวงดาว แต่ถ้าไม่ใช่เพราะดาวหางหรืออุกกาบาตพุ่งชน อุปกรณ์ของเราแทบไม่เคยเสียหาย ฉันคงต้องหาทางซ่อมให้ได้แล้วล่ะ คุณจะช่วยฉันได้ไหม” นิราหันมาถามจนต้นตั้งตัวแทบไม่ติด
“ผมเนี่ยนะ” ต้นอุทาน “ผมจะไปช่วยอะไรคุณได้ ผมมันก็แค่เจ้าของร้านอาหารในชัยภูมิ ไม่ใช่พนักงานนาซาสักหน่อย”
“นาซา อ๋อ องค์กรที่ทำงานด้านอวกาศของโลกคุณน่ะเหรอ ไม่เห็นจะได้เรื่องได้ราวอะไร เราติดตามดูมาตั้งนานแล้ว ยังล้าสมัยมากๆ แล้วไม่ต้องห่วง คุณช่วยได้แต่ ฉันเห็นแล้วว่าความเสียหายไม่มากเท่าไหร่นัก ถ้าคุณช่วยฉันหาอุปกรณ์ เราก็คงซ่อมเสาส่งสัญญาณนี่ได้” นิราพูดอย่างกับมันเป็นเรื่องง่ายเสียเต็มประดา
เธอบอกว่า เสาส่งสัญญาณ หรือก็คือก้อนหินใหญ่แห่งมอหินขาวนี้ แม้จะมองเผินๆ จะเป็นเหมือนแค่หินก้อนใหญ่ที่เกิดจากหินทรายเก่าแก่เป็นล้านๆ ปี แต่อันที่จริง ภายในของหินทรายก้อนนี้ คือเสาส่งสัญญาณที่ทำด้วยเพชร วัสดุที่แข็งแกร่งที่สุดที่คณะสำรวจชุดแรกสามารถหามาได้บนโลกนี้ เพชรเป็นองค์ประกอบที่ถูกเลือกให้มาสร้างเป็นส่วนหนึ่งของเสาส่งสัญญาณ ในขณะที่ทอง ถูกใช้เป็นตัวเชื่อมต่อของชุดอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยคุณสมบัติที่เปลี่ยนรูปร่างได้ เมื่อโดนความร้อน แต่ตอนนี้ มันเกิดปริแตกหักไปเล็กน้อย ทำให้เสาสัญญาณโค้งงอ และไม่สามารถยิงสัญญาณไปถึงดวงจันทร์ได้
“คุณต้องช่วยฉันหาทองมาเชื่อมเสา แต่แหม อย่างที่ฉันว่านะ ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเสาของเราหักได้ยังไง” เวลาที่นิราบ่น เธอก็เหมือนสาวชาวโลกนี่แหละนะ ต้นนึกขันในใจ และจะว่าไป เขาไม่แปลกใจสักนิด ที่เสาส่งสัญญาณอะไรนี่ของชาวดาวไทม์จะหัก ก็แหม ก่อนที่ทางการจะเข้ามาดูแลพัฒนาให้มอหินขาวเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามา ทั้งขูดหาเลข ทั้งสลักชื่อตัวเองบนหิน แถมบางคน ยังเอาหนังสติ๊กมาฝึกซ้อมยิงจนหินบางก้อนมีรูเสียอีก แต่ต้นก็ไม่อยากจะพูดเรื่องคนมือบอนพวกนี้ออกไป ปล่อยให้นิราบ่นลมๆ แล้งๆ ไปเสียดีกว่า ไม่งั้นก็เสียชื่อชาวโลกหมด ว่าแต่ เธอให้เขาช่วยหาอะไรนะ ทองเหรอ มันแพงนะ
“แล้วคุณต้องการทองมากขนาดไหน” ต้นถาม พลางคิดไปถึงทอง 2-3 บาทที่แม่เก็บไว้ในตู้ที่บ้าน
“ก็คงสัก ราวๆ เอ เท่าไหร่ดี หากจะพูดเป็นภาษาของคุณ ก็น่าจะประมาณสัก 1 กิโลกรัมกระมัง” เธอบอก
“โอ้โห ทองตั้งกิโลนึง ผมจะไปหาจากไหนมาให้คุณได้ คุณรู้ไหมว่ามันแพงขนาดไหน” ต้นนึกไม่ทันหรอกว่าไอ้ทองหนัก 1 กิโลกรัมนี่ มันจะสักกี่บาท แต่ที่แน่ๆ เขาคงไม่มีปัญญาไปหาซื้อมาให้เธอหรอก
“แพงเหรอ คุณหมายถึงว่า เราต้องไปซื้อมาอย่างนั้นเหรอ” นิราถาม เออ ยายคนนี้ก็ถามแปลก ไหนว่าสอดแนมโลกมาตั้งนาน ไม่รู้หรือไง ว่าทองเป็นของซื้อของขาย
“ก็ใช่น่ะซิครับ เราต้องไปซื้อมา ทอง 1 กิโลกรัม เอ่อ ขอผมคิดนิดนึงนะ ผมพอจะจำได้ว่า น้ำหนักทองบาทนึง คือ 15.2 กรัม ราคาตอนนี้ก็ประมาณ 20,000 บาท ถ้าคุณจะเอา 1 กิโล ก็คงต้องใช้เงินสัก....ง่า”
“หนึ่งล้านสามแสนบาทเศษ” นิราต่อคำให้ต้นอย่างว่องไง เออ ก็เธอเป็นมนุษย์ต่างดาวนี่นะ คิดเลขแค่นี้ คงไม่ยาก แต่ไอ้ที่ยากคือ เขาจะไปหาเงินเป็นล้านมาจากไหนให้เธอล่ะ
“ผมไม่มีหรอกนะ เงินเป็นล้านๆ น่ะ ผมก็แค่เปิดร้านอาหารเล็กๆ รวบรวมเงินเก็บทั้งหมดในชีวิตผม ก็คงได้สักแสนสองแสน” ต้นพูดพลางแบมือออกทั้งสองข้าง ให้เธอเห็นว่า เขาไม่มีจริงๆ
“เงินล้านสามนี่ มันหายากจริงๆ เลยเหรอ” นิราตั้งคำถามที่ทำให้ต้นลำบากใจ
“ก็...ถ้าคุณเจอคนรวย เงินแค่นี้ก็ไม่ลำบากหรอกครับ แต่สำหรับผม แหม จะให้บอกยังไงล่ะ ไม่มี ก็คือไม่มีนั่นแหละคุณ”
“คุณบอกว่า คุณทำอาชีพอะไรนะ”
“ผมเปิดร้านอาหารอีสานอยู่ในตัวเมืองชัยภูมิครับ”
“ฉันจะไปช่วยงานที่ร้านของคุณ เราจะหาเงินไปซื้อทอง 1 กิโลกรัมกันให้ได้” นิราพูดหน้าตาเฉย เฮ้ย จะไปช่วยที่ร้านเนี่ยนะ แล้วคนอื่นจะว่ายังไง ที่สำคัญ ขายอาหารอีสานอีกสักกี่วัน หรือจะถามว่ากีปีงั้นเหอะ กว่าจะมีเงินเก็บพอซื้อทองหนักกิโลนึงอย่างที่เธออยากได้
แต่นิราไม่ฟังคำทักท้วง เธอบอกว่า เธอมี “เวลา” มากพอ ว่าแล้ว นิราก็กดปุ่มอะไรไม่รู้อีก 2-3 ปุ่ม พื้นที่เขาและเธอยืนอยู่ก็ยกสูงขึ้นมาเท่าระดับพื้นดิน ปิดห้องลับเอาไว้มิดชิด ก่อนที่เธอจะเดินห่างออกไป พร้อมดึงเขาเดินมาข้างๆ แล้วก้อนหินใหญ่แห่งมอหินขาวก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินอย่างน่าอัศจรรย์ โอ๊ย วันนี้ เขาคิดถึงคำว่าอัศจรรย์ไปแล้วกี่หนกันนะ
นิราขอให้ต้นปิดเรื่องทั้งหมดไว้เป็นความลับ อันที่จริง ต้นแนะนำให้เธอไปพบรัฐบาล ขอทองสักกิโลนึง ไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก แต่เธอบอกว่า แค่บอกความลับให้เขารู้ ก็ผิดมากแล้ว ในฐานะผู้สังเกตการณ์ เธอและพลเมืองดาวไทม์ ทำได้แค่สังเกต เฝ้ามอง และศึกษา แต่เธอไม่มีทางเลือก นิรามาอยู่บ้านเขา พ่อกับแม่ทำหน้าประหลาดใจสุดขีด ตอนที่ต้นบอกว่า ได้คนช่วยงานร้านอาหารมาใหม่เป็นสาวสวยผิวสีแปลกๆ แถมลูกจ้างคนนี้ ยังจะมานอนค้างที่บ้านต้นด้วย
ทีแรก เขาตั้งใจให้เธอนอนพักในห้องของเขา แล้วเขาจะออกมานอนที่ห้องนั่งเล่น แต่นิราปฏิเสธอย่างมีมารยาท
“ฉันไม่นอน คุณไม่ต้องห่วง อย่างที่ฉันเคยบอกคุณ ฉันมีเวลามากพอ เวลาของคุณกับฉันมันไม่เหมือนกัน” ว่าแล้ว เธอก็ทำช่วยงานที่ร้านอาหาร ตั้งแต่มีสาวสวยมาช่วยที่ร้าน ร้านอาหารของต้นก็ขายดิบขายดี เธอช่วยคิดเมนูแปลกใหม่ ช่วยเสริฟ ช่วยต้อนรับลูกค้า ช่วยทำกับข้าว เอาเป็นว่า ช่วยสารพัด แถมตอนกลางคืนที่ต้นนอนหลับ นิราก็ออกไปทำงาน ที่ต้นไม่รู้เหมือนกันว่างานอะไร แต่ถึงกระนั้น ในวันหยุดของร้านอาหาร นิราก็ขอให้ต้นขับรถพาเธอออกไปดูสถานที่ต่างๆ ที่เธอให้ความสนใจเป็นพิเศษ ก็เป็นพวกพิพิธภัณฑ์ต่างๆ แหงล่ะ มนุษย์ต่างดาว ก็คงสนใจเรื่องแบบนี้ ส่วนเขา ไม่เคยสนใจพวกพิพิธภัณฑ์อะไรมาก่อน เมื่อได้พานิรามาเที่ยว เขาก็ได้แต่แอบมองเธอ ดวงหน้ากระจ่างใส ผิวสีทองแดง กับรอยยิ้มถูกอกถูกใจเวลาเห็นข้าวของในพิพิธภัณฑ์ทำให้มันยากเหลือเกินที่จะถอนสายตาออกจากเธอ
นิราเองก็รู้ว่าถูกแอบมองอยู่บ่อยๆ เธอรู้สึกขัดเขินเกินกว่าจะบอกให้ต้นเลิกมอง เพราะจะว่าไป ก็รู้สึกอบอุ่นดี ที่ได้อยู่ในสายตาของเขา
หลังจากอยู่ด้วยกันมาได้ 4 เดือนเศษ จู่ๆ เธอก็เอาเงินปึกเบ้อเร่อมายื่นให้เขา
“นี่ เงินหนึ่งล้านห้าแสนบาท มากกว่าที่คำนวณกันไว้นิดหน่อย ทีนี้ คุณไปซื้อทองให้ฉันได้แล้ว” นิราบอก ทำเอาต้นตกใจ นี่เธอใช้เวลาแค่ 4 เดือนหาเงินได้ตั้งล้านห้าทีเดียวเหรอ
“นี่คุณไปเอาเงินมากขนาดนี้มาจากไหน” ต้นตกใจจนต้องถาม นิราทำสีหน้ากระอีกกระอ่วนนิดหน่อย ก่อนจะเปิดเผยให้ฟังว่า หลังจากเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์มากมายแล้ว ทำให้เธอพอจะรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งมีค่า และเมื่อเธอได้สำรวจ “ปรางค์กู่” โบราณสถานจากสมัยขอมที่ตั้งในเมืองชัยภูมิด้วยเครื่องมือพิเศษ เธอก็ได้รู้ว่า โบราณสถานสำคัญของจังหวัดชัยภูมิที่สร้างมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18 ในสมัยที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ครองราชย์อยู่นั้น ไม่ได้มีเท่าที่ตาเห็น แต่ใต้ดินลงไป ยังมีหลักศิลาจารึกสำคัญฝังอยู่ และเธอลอบขุดขึ้นมา เอาไปขายในตลาดมืดให้พวกนักสะสมของโบราณ จนได้เงินมาอย่างที่ต้องการ
ต้นยืนตาค้างมองเงินหนึ่งล้านห้าแสนบาทตรงหน้าอย่างอธิบายความรู้สึกไม่ถูก ในฐานะคนชัยภูมิ หากมีโบราณวัตถุอยู่ที่ปรางค์กู่ มันก็ควรจะถูกส่งให้รัฐบาล เพื่อเอาไปศึกษา หรือจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ แต่นิรากลับเอาไปขายในตลาดมืด แต่เขาก็เข้าใจดีว่า เธอมีความจำเป็นต้องหาทองไปซ่อมเสาอากาศให้ได้
![]() |
ปรางค์กู่ ชัยภูมิ |
![]() |
ปรางค์กู่ ชัยภูมิ |
ต้นจัดการไปซื้อทอง เมื่อได้ตามที่ต้องการ เขาและเธอ กลับไปที่มอหินขาวอีกครั้ง เธอใช้อุปกรณ์ทำความร้อนที่มีอยู่ในห้องแล็ปลับนั้น เชื่อมเสาสัญญาณเพชรได้สำเร็จด้วยทองที่ได้มา
“เสร็จแล้ว ทีนี้ ฉันก็หมดภารกิจ” นิราบอก
“แล้ว...คุณจะเอายังไงต่อไป” ต้นถามด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า เพราะเขารู้คำตอบอยู่แล้ว
“ฉัน..ฉันต้องกลับบ้าน ฉันได้รับมอบหมายให้มาทำงานนี้ เสร็จแล้วก็ต้องไปรายงานกับหัวหน้าที่ดาวไทม์” น้ำเสียงของเธอก็เศร้าไม่แพ้กัน การอยู่ด้วยกัน 4 เดือน แม้จะไม่นานนัก แต่มันสร้างความผูกพันอย่างยากจะลาจาก
ต้นเอื้อมไปจับมือนิรามากุมไว้ หากเธอจะไป เขาก็ขอให้ได้บอกเธอก่อน
“นิรา เอ่อ..คือ..ผม...” พอจะบอกเข้าจริงๆ มันกลับยากเหลือทน “ผมคิดว่าผมรักคุณ” ว่าแล้ว ต้นก็โพล่งออกไปอย่างที่ใจคิด
นิรายิ้มน้อยๆ เท่าที่สำรวจจักรวาลมามากมาย ก็มีแต่ที่โลกนี่แหละ ที่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ที่มี “ความรู้สึก” ใกล้เคียงกับชาวดาวไทม์ ที่มีความรู้สึกเหมือนกัน และตอนนี้ เธอก็คิดว่า เธอ “รู้สึก” เหมือนเขา
“ฉันก็รักคุณนะ..ต้น แต่ฉันก็จำเป็นต้องกลับไป”
“แล้วคุณจะกลับมาอีกไหม”
“นี่แหละ ที่ฉันอยากบอกคุณ สำหรับฉัน การเดินทางข้ามอวกาศ มันไม่ยากอะไรนักหรอก ฉันขอเวลาแค่ 4 วัน ฉันบิน 2 วันไปถึงดาวไทม์ รายงานตัว แล้วจะรีบกลับมาหาคุณ บินอีก 2 วัน รวม 4 วัน ฉันก็จะกลับมา คุณรอฉันอยู่ที่มอหินขาวนี่นะ” นิราพูดด้วยรอยยิ้ม ทำเอาต้นยิ้มออกมาด้วย
ยานอวกาศของเธอ ถูกซ่อนไว้อย่างดี ในช่องลับที่หุบผา ในอุทยานแห่งชาติภูแลนคา ใต้จุดชมวิว “ผาหัวนาค” ที่อยู่ด้านบนเหนือขึ้นไปจากมอหินขาว มิน่าล่ะ ถึงได้ไม่มีใครเห็น เขาไปส่งเธอถึงยานอวกาศ
ก่อนจะขึ้นยาน เธอหันมาหอมแก้มเขาเบาๆ พลางกระซิบ
“อีก 4 วันเจอกันนะคะ ฉันรักคุณ”
แล้วนิราก็ขับยานอากาศลับตาไปในความมืดของผาหัวนาค
เธอให้รอ 4 วัน แต่ต้นทนไม่ไหว เขามากางเต็นท์รอเธอทุกวัน จนถึงวันที่ 4 เธอก็ยังไม่มา ผ่านไปเป็นสัปดาห์ สู่เดือน สู่ปี ไม่มีวี่แววว่านิราจะกลับมา หรือว่า เธอมีปัญหาที่ดาวไทม์ ทำให้มาไม่ได้ ถึงกระนั้น ต้นก็ยังมารอเธอเสมอ โดยเฉพาะในวันที่พระจันทร์เต็มดวง วันที่ชาวบ้านเริ่มล่ำลือกันว่า ลำแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งมอหินขาวกลับมาแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เคยมีเรื่องเล่าปรัมปรากันมานานว่า ในคืนเดือนเพ็ญ จะมีแสงสีขาวทองส่องออกมาจากมอหินขาว แต่แสงนี้หายไปเมื่อประมาณกว่าร้อยปีก่อน ในช่วงที่ผู้คนหักร้างถางพงเข้าไปทำไร่ทำสวนใกล้มอหินขาวมากขึ้น แต่ตอนนี้ แสงศักดิ์สิทธิ์กลับมาอีกครั้ง ทำให้นักท่องเที่ยวตื่นเต้นประหลาดใจ แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์ออกมาอธิบายว่า เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติ ที่เมื่อพระจันทร์ส่องกระจ่างมาที่ก้อนหินทราย ก็จะเกิดแสงสะท้อนออกมา แต่มีแค่ต้นเท่านั้น ที่รู้ว่า จริงๆ แล้ว แสงนี้คือการส่งสัญญาณจากโลกไปยังดวงจันทร์ สัญญาณที่นิราบอกว่า หายไปได้ 10 วัน ก่อนที่เธอจะถูกส่งให้มาซ่อม
“10 วันเหรอ” ต้นพึมพำกับตัวเอง และตอนนั้นเองที่มันทำให้เขารู้คำตอบ
เวลาของดาวเคราะห์ดวงที่ 3 แห่งระบบสุริยะจักรวาล และเวลาของดาวไทม์ ไม่เท่ากัน เวลาราว 100 กว่าปีบนโลก มันเป็นเพียง 10 วันของดาวไทม์ ดังนั้น ที่นิราให้เขารอ 4 วัน มันคือวันของดาวไทม์ ไม่ใช่ 4 วันของโลก!
เวลาผ่านไป 50 ปีเศษ ต้นกลายเป็นคนแก่อายุเฉียด 80 เขารู้ตัวว่าแก่มากแล้ว แต่เขาก็ยังอยู่ และดึงดันไม่ฟังคำทัดทานของหลานๆ ที่ไม่ให้ขึ้นมากางเต็นท์นอนบนภูเขาอีกแล้ว แต่ต้นก็ยังกระย่องกระแย่งมาทุกคืนพระจันทร์เต็มดวง ต้นไม่ได้แต่งงาน เขายังรอผู้หญิงผิวสีทองแดงของเขา
ในคืนเพ็ญ นิราจอดยานอวกาศของเธอไว้ใต้หุบผาที่เก่า เธอเดินไปที่มอหินขาว มันไม่เหมือนเดิม แม้ยามดึก มอหินขาวก็ยังคึกคักด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากันเต็มไปหมด แต่ด้วยอุปกรณ์ไฮเทค เธอจับสัญญาณชีพของคนที่เธอตามหาได้ ในเต็นท์ที่ห่างผู้คนออกไป ชายชรานัยน์ตาฝ้าฟางคนนั้นมองมาที่เธอ แสงจันทร์ส่องสว่างอาบผิวสีทองแดง และเสื้อผ้าที่พริ้วไสว เหมือน “นางฟ้า” ลงมาจากสวรรค์อย่างที่บรรพบุรุษของเขามักจะเล่าถึง
นิราน้ำตารื้นเมื่อมองเห็นเขา เธอเดินเข้าไปหาด้วยก้าวย่างที่มั่นคง ต้นงกๆ เงิ่นๆ ลุกขึ้นยืนรอ สาวสวยจากต่างดาวสวมกอดเขาไว้แนบแน่น พลางกระซิบ
“ขอบคุณนะที่ยังรอ..ฉันยังรักคุณเสมอนะต้น”
“ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน นิรา” ชายชรากระซิบตอบ
หมายเหตุ : อุทยานแห่งชาติภูแลนคา มอหินขาว และปรางค์กู่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดชัยภูมิ โดยเฉพาะมอหินขาว ที่มีลักษณะเป็นสวนหินธรรมชาติ เกิดจากการสะสมของตะกอนทรายและดินเหนียวที่แข็งตัวกลายเป็นหินขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายกัน 5 ก้อน มีเรื่องปรัมปราเล่าว่า ในอดีตเมื่อนับร้อยปีก่อนหินที่มอหินขาว จะส่องแสงออกมาทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวง
ผ่าตัดสมอง
ผ่าตัดสมองเหรอ...เรื่องเล็กน่า :)
เมื่อต้นปี 2559 เรามีอาการผิดปกติ เหมือนจะชัก เลยไปหาหมอ ตรวจพบว่า มีเนื้องอกในเยื่อหุ้มสมอง แต่ยังเป็นขนาดเล็ก และเนื้องอกประเภทนี้ ส่วนใหญ...

-
เรื่องสั้น "เบื้องหลังรอยยิ้มของโมนาลิซา" ตีพิมพ์ใน "ขายหัวเราะ" วันที่ 6 ก.ค. พ.ศ.2559 เป็นเรื่องสั้นที่ "รัก...
-
ร้าน Salad Factory (สลัด แฟคตอรี่) เป็นร้านที่อยากแนะนำมากๆ เพราะอาหารคุณภาพดี ราคาไม่แพง ของดังของร้านนี้ ก็ตามชื่อเลย คือ สลัดประเภทต่างๆ...
-
เรื่องสั้น "อโหสิกรรม" / ตีพิมพ์แล้ว ใน "ขายหัวเราะ" มิ.ย.2559 ตัดสินใจเขียนเรื่องสั้น หลังจากรู้ว่า มีเนื้องอกในสมอง ...