วันจันทร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2561

รีวิว อสิตา อีโค รีสอร์ท อัมพวา

วันนี้ มาพาไปเที่ยวอัมพวากันค่ะ สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ไม่ได้นำมาเขียน เพราะน่าจะเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว เลยขอรีวิวโรงแรมที่พัก คือ อสิตา อีโค รีสอร์ท ซึ่งราคาปกติ ก็ค่อนข้างสูงเหมือนกัน แต่เราซื้อคูปองมาจากงานไทยเที่ยวไทย ทำให้ลดราคาเหลือราคา 2,500 บาท/ห้อง/คืน สำหรับห้องแบบสุพีเรีย ที่พักได้ 2 คน พร้อมอาหารเช้า เราซื้อคูปองมา 2 ใบ สำหรับ 2 ห้อง และเราขอเสริมโซฟาเบดอีกที่นึง เพราะคณะเราไปกันทั้งหมด 5 คน (ค่าโซฟาเบด พร้อมอาหารเช้า เพิ่ม 500 บาทค่ะ)

มาดูอาคารหลักของโรงแรมกันก่อน
ตรงนี้ เป็นอาคารทรงไทย ที่อยู่ด้านในค่ะ เลือกมาเป็นภาพเปิด เพื่อให้เห็นบรรยากาศ ว่าที่นี่ เน้นความเป็นไทย อาคารหลักนี้ ด้านล่าง เป็นห้องอาหาร ที่เราจะมาทานอาหารเช้ากันค่ะ ส่วนด้านบน เป็นบ้านเรือนไทย ที่ขึ้นไปถ่ายรูปด้านนอกๆ ได้ ส่วนในห้อง เข้าใจว่าเป็นห้องพักแขกด้วย เพราะเห็นมีเบอร์เลขห้องอยู่ และเท่าที่เห็นจาก VDO แนะนำโรงแรม สถานที่ตรงนี้ มีคนมาเหมาสำหรับจัดงานแต่งงานกันบ่อยๆ น่าจะดีเหมือนกันนะคะ บรรยากาศดี แต่เท่าที่เห็นลานจอดรถ ดูเล็กไม่หน่อย จอดได้ประมาณ 10 กว่าคัน ไม่แน่ใจว่า หากกรณีมีการจัดงาน เช่น งานแต่งงาน หรืองานอื่นๆ ที่คนมาเยอะๆ เขาอาจจะมีที่จอดรถที่อื่นเเพิ่มให้ ไอ้เราก็ไม่ได้ถาม แต่ถ้าเท่าที่เห็น ก็ถือว่าที่จอดรถน้อยไปนิดนึงค่ะ

ที่นี่ เช็คอินได้ 14.00 น. ซึ่งก็ถือว่า OK ค่ะ เพราะขับรถมาจากกรุงเทพฯ ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงอัมพวา ไปแวะเที่ยวได้หลายแห่ง จนเหนื่อยแล้ว ก็มาเช็คอิน เจ้าหน้าที่บริการดีมากๆ

ตรงล็อบบี้ เป็นโอเพ่นแอร์ ไม่มีแอร์ เหมือนสถานที่ส่วนใหญ่ของที่นี่ ที่เน้นความเป็นธรรมชาติ ดอกไม้ ต้นไม้สวยๆ และมีเก้าอี้ มีที่นอน วางอยู่ในหลายจุดของสถานที่

ตรงนี้เป็นเก้าอี้ สำหรับนั่งรอที่ล็อบบี้ค่ะ น่ารักเชียว

ตอนมาเช็คอิน พนักงานจะให้เลิอกอาหารเช้าเลย เพื่อเตรียมการให้พรุ่งนี้ เป็นอาหารจานเดียว เราเลือกจานที่พนักงานแนะนำว่า มาอัมพวา แม่กลอง ต้องทาน คือ ข้าวผัดปลาทู เดี๋ยวตามไปดูกันว่าเป็นยังไงนะคะ แต่นอกจากนั้น ตรงล็อบบี้ ก็มีกระดานดำตามภาพนี้ ที่แนะนำอาหารเย็น พนักงานบอกว่า ที่ต้องทานเป็นซิกเนเจอร์เลย คือ ยำส้มโอ และปลาหมึกผัดพริกเกลือ ซึ่งเดี๋ยวตอนเย็น เราจะไปทานกันค่ะ แต่ตอนนี้ พาเข้าห้องก่อน


ป้ายบอกทางไปห้องค่ะ ทำเป็นรูปปลา

เปิดห้องเข้ามา เจอเตียงนอนใหญ่ มีหมอนให้คนละ 2 ใบ ส่วนปลายเตียง เป็นผ้าเช็ดตัวพับเป็นรูปช้าง


ฝั่งตรงข้าม มองไปเห็นอีกห้องนึง ที่เหมือนกัน ส่วนเรา ได้ 2 ห้องติดกัน ที่สามารถเปิดหากันได้จากด้านใน เป็นห้องแบบคอนเน็คกัน ทำให้การมาเป็นครอบครัวสะดวกดีค่ะ

 ในห้อง มีโซฟาแบบนี้ให้นอนเล่น ซึ่งต้องขอบอกว่า โซฟาเบดอันนี้ นอนสบายกว่านอนที่เตียงค่ะ และอาจจะโชคร้าย ที่เตียงห้องเรามีเสียงสปริงดังบ่อยๆ เวลานอนพลิกตัว ก็มีเสียงดัง เลยนอนไม่สบายเท่าไหร่ แต่อีกห้องนึงไม่มีเสียง
กรณีที่เราขอจ่าย 500 บาท เพื่อเพิ่มคนที่ 3 ในห้อง เขาก็เอาผ้าปูที่นอน มาปูตรงโซฟาเบดให้นั่นเอง มีน้องช้างที่เป็นผ้าเช็ดตัว และผ้าห่มผืนเล็กให้ ซึ่งสุดท้ายแล้ว คนบ้านเราเอาผ้าปูที่นอนออก เพราะตัวโซฟาเอง เป็นกำมะหยี่ นอนนุ่มกว่านอนด้วยผ้าปูค่ะ

 ในห้อง มีชุดแก้ว เครื่องต้มน้ำ และในกล่องไม้ เป็นกาแฟ ชา คอฟฟี่เมต น้ำตาล
 เปิดกล่องออกมา มีแบบนี้ค่ะ
 ตู้เย็นขนาดมาตรฐานโรงแรม มีน้ำเปล่าให้ 2 ขวด

 มีโทรทัศน์ขนาดพอใช้ได้ แต่ช่องรายการไม่มากเท่าไหร่ ก็ถือว่า OK เพราะเราไม่ได้ตั้งใจมาดูโทรทัศน์ แต่อยากมาพักผ่อนสบายๆ มากกว่า
 อ่างล้างหน้าในห้องน้ำ สะดวกสบาย
 ชักโครก มาตรฐาน
 ชุดอาบน้ำ มีให้คนละ 1 ชุด (อันนี้ ถ่ายมาจากห้องที่พัก 3 คน ก็ได้สบู่ซึ่งเขียนว่าเป็นทั้งสบู่เหลว และแชมพูในขวดเดียวกันคนละ 1 ขวด ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กคนละผืน หมวกคลุมผม และสำลีอยู่ในซองสีขาว)
 ส่วนอาบน้ำ แยกแห้งกับเปียกชัดเจน อันนี้ ชอบเลยค่ะ และพอได้อาบน้ำ โอ้โห ขอบอกว่าเห็นฝักบัวเรียบง่ายอย่างนี้ แต่เป็นไฮไลท์จริงๆ เพราะฝักบัวคุณภาพดีมากๆ รูที่น้ำไหลออกมาเป็นรูเล็กมากๆ ทำให้ได้น้ำออกมาเป็นละอองฝอย นุ่มจริงๆ ถือเป็นฝักบัวที่ดีที่สุดเท่าที่เคยใช้บริการโรงแรมต่างๆ มาเลยทีเดียว เสียนิดนึงว่า สบู่ที่มีให้ ไม่หอม ถ้าแก้อีกนิด ให้สบู่หอมออกแนวสปา ก็จะได้ใจเต็มๆ ถือเป็นจุดที่น่าเสียดาย เพราะทางโรงแรมทำอย่างอื่นๆ ไว้ดีมากๆ แต่พอสบู่เหลวไม่หอม ก็เลยขอตัดคะแนนนิดนึงค่ะ

ที่แขวนผ้า ทำมาเป็นบันไดไม้ เก๋ดีนะคะ แต่ส่วนตัวไม่ชอบเท่าไหร่ เพราะชอบราวเหล็ก หรือราวพลาสติคอะไรแบบนี้มากกว่า เพราะเราใช้แบบบันไดไม่ค่อยสะดวกใจ ประมาณว่า กลัวชื้น แล้วสกปรกง่าย แต่ไม่ได้ว่าของโรงแรมนะคะ เขาดูสะอาดสะอ้านดี เพียงแต่เราไม่ชอบเอง ส่วนถุงที่แขวนอยู่ ใส่ไดร์เป่าผมไว้ให้ค่ะ

มีกางเกงเลให้คนละตัว กับรองเท้าแตะ (เรามา 5 คน ได้รองเท้าแตะ 4 คู่ แต่ไม่มีปัญหาค่ะ) ใส่กางเกงเล ลากแตะ เดินเที่ยวในบริเวณโรงแรมก็สนุกแล้ว



 ตรงนี้ เมื่อออกมาจากระเบียงด้านหลังห้อง จะเจอแผ่นไม้ไผ่ มานั่งๆ นอนๆ ได้ สบายดีค่ะ
หรือถ้าไม่อยากลงไปตรงไม้ไผ่ที่ใกล้น้ำ ตรงระเบียงเองก็มีเก้าอี้ชุดนี้ให้นั่ง ชิลด์ๆ

 พออาบน้ำ สบายตัว ก็ออกมาเดินเล่น ที่โรงแรม ที่มีนั่งสวยเก๋เยอะมากจริงๆ ค่ะ

อันนี้ ขอเรียกเองว่า ที่นอนดูดวิญญาณ นอนแล้ว ลุกยากค่ะ เพราะมันสบายมากๆ อยากทิ้งตัวไว้ตรงนี้เลย ทางโรงแรมก็ถือว่า สรรหาที่นั่งที่นอนได้สบาย และอยู่ในธรรมชาติมากๆ 


อันนี้ ก็ดูดวิญญาณพอกัน





 ตรงนี้ เป็นศาลาริมน้ำ ด้านหลังสุดของโรงแรมเลย นั่งมองน้ำไหลเอื่อยๆ สบายใจดี

 มีสะว่ายน้ำให้บริการ อันนี้ก็ชอบมาก เพราะสระขนาดกำลังดี ไม่ใหญ่มาก เหมาะกับคนว่ายน้ำไม่เก่งอย่างเรา ไปๆ มาๆ พอได้ออกกำลังกาย ก็ Happy มากๆ
มีจักรยานให้ยืมฟรี และมีเรือให้พายด้วย แต่เราไม่ได้ใช้บริการ เพราะแค่เดินเล่นในโรงแรม ก็สนุกแล้ว

มาถึงอาหารเย็น เราสั่งห่อหมก อร่อยดีค่ะ



ส่วนนี่ คือ ยำส้มโอ ที่บอกว่า เป็นเมนูซิกเนเจอร์ อันนี้ อร่อยโดนๆ


แถมด้วยปลาหมึกผัดพริกกระเทียม ที่พนักงานแนะนำ อร่อยมากๆ เสียอย่างเดียว พอกัดพลาดเจอพริก ถึงกับน้ำตาไหล 55 แต่อร่อยค่ะ รับประกัน และช่วง 17.00 น. ถึงสองทุ่ม (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ) เป็นช่วงเวลาที่สามารถสั่งค็อกเทลมาดื่มได้ ด้วยโปรโมชั่น 1 แถม 1

ว่าแล้ว ก็เข้านอน ก่อนนอน มองขึ้นไปบนฟ้า เห็นดาวเยอะทีเดียว ประทับใจค่ะ แต่เสียดาย ทีแรกกะว่าจะได้เห็นหิ่งห้อย แต่พนักงานบอกว่า หมดฤดูที่หิ่งห้อยจะมาแถวนี้แล้ว เลยไม่เจอกัน

มาถึงอาหารเช้า พอนั่งลง ก็มีน้ำเปล่า น้ำส้ม เนย แยม มาให้ก่อน พร้อมถามว่าจะรับชา หรือกาแฟ


 จากนั้น ขนมปังปิ้งก็ออกมา ให้คนละแผ่นหั่นครึ่งแบบเฉียง (ในภาพมี 8 ชื้น เพราะตอนแรกเราเดินมา 4 คนก่อน คนที่ 5 กำลังตามมา)



แล้วก็มาถึงซิกเนเจอร์อีกจานที่พนักงานแนะนำ คือ ข้าวผัดปลาทู ก็อร่อยสมที่แนะนำนะคะ

มีน้องเราคนนึง ไม่ทานปลาทู สั่งเป็นชุดอาหารเช้าแบบฝรั่ง

หมดจากอาหารจานหลัก ได้ผลไม้ อันนี้ สำหรับ 5 คนค่ะ

จากนั้นไปเดินเล่นกันรอบบริเวณอีกที เพราะอากาศตอนเช้าดีกว่าตอนบ่าย-เย็นของเมื่อวานนี้ ได้เห็นธรรมชาติสวยๆ ก็สบายใจ สบายตาดีค่ะ

รวมแล้ว อสิตา อีโค รีสอร์ท เป็นที่พักที่เราค่อนข้างชอบมากๆ ถ้ามีเรื่องติ ก็มี 2 ประเด็น อย่างที่บอกแล้วคือ เตียงมีเสียงดังของสปริงเวลาพลิกตัว (ไม่ได้เป็นทุกเตียง แต่ดันเป็นที่ห้องเรา) และสบู่อาบน้ำ ที่อยากให้หอมแบบสปา เข้าบรรยากาศหน่อย แต่รวมๆ ก็ชอบมากๆ และตั้งใจว่าจะกลับมาอีก แต่คงต้องรอซื้อคูปองจากงานไทยเที่ยวไทยอีก จะได้ราคาย่อมเยาว์หน่อยค่ะ

ท่านไหนที่ชอบธรรมชาติ แนะนำที่นี่เลย ไม่ไกลกรุงเทพ เราให้คะแนน 8.5 เต็ม 10 ่ค่ะ

วันเสาร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2561

ทำไมต้อง "โยเดีย" เมื่อ กรุงอยุธยา หมายถึง เมืองที่ไม่มีวันแพ้

#โยเดีย
เพิ่งได้ชมสารคดีที่น่าสนใจ บอกที่มาของชื่อ กรุงอยุธยา (หรืออโยธยา) ว่า มีรากศัพท์มาจากคำว่า อยุทธ หมายถึง (ใครๆ ก็) สู้ไม่ได้ ในแง่ของชื่อเมือง กรุงศรีอยุธยา จึงแปลว่า เมืองที่ไม่มีใครสู้ได้ ไม่อาจเอาชนะได้ หรือเมืองที่ไม่มีวันแพ้
ดังนั้น การเรียกชื่อ อยุธยา สั้นๆ ว่า ยุธยา จึงเป็นการทำให้ความหมายผิดไปอย่างมหันต์ เพราะเมื่อตัด อ ออกไป ก็กลายเป็นคำตรงกันข้าม คือ เมืองที่ถูกเอาชนะ หรือเมืองที่แพ้ เมืองของคนแพ้   

และเมื่อย้อนไปในอดีต เมื่อพม่ามาทำสงครามกับอยุธยา ก็ใช้วิธีการตัด อ ออกจาก อโยธยา เพื่อเป็นเคล็ด ให้มีความหมายว่า ยุทธ หรือ สู้ได้ เอาชนะได้ การที่พม่าเรียก กรุงศรีอยุธยา ว่า "โยธยา" แล้วเสียงก็กร่อนมาเป็น โยธิยา-โยดิยา สู่ "โยเดีย" ในที่สุดนั้น จริงๆ แล้ว เป็นการกล่าวขานในทางที่ไม่ดี ก็ให้แปลกใจที่มีผู้บอกว่า ศึกษาประวัติศาสตร์ และเทิดทูนกรุงศรีอยุธยา แต่มีเพลงประกอบเป็น "โยเดีย"

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ตามอ่านหนังสือเพิ่มเติม ก็ได้ความว่า เมื่อครั้นพม่ากวาดต้อนคนจากกรุงศรีอยุธยาไปในคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 นั้น หลายคนที่ไปตั้งหลักปักฐานใหม่ในพม่า เป็นผู้มีวิชาความรู้ เก่งในหลายๆ ด้าน ทั้งการทำอาหารชาววัง การสร้างสถาปัตยกรรม และงานฝีมือต่างๆ ทำให้มีการกล่าวกันในหมู่พม่าว่า ช่างโยเดีย หรืออะไรก็ตาม จากโยเดีย ถือเป็นของดี ทำให้การพูดถึงโยเดีย กลายเป็นความหมายถึงสุดยอดช่างฝีมือในสารพัดด้าน ใครได้ชม ชิม หรือมีประสบการณ์ใดๆ จากโยเดีย ก็จะถึอว่าได้พบสิ่งที่มีค่าสุดยอดจากกลุ่มคนที่ถูกกวาดต้อนมาจากอยุธยา

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปถึงรากศัพท์ ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยอยู่ดี ที่ผู้รู้ประวัติศาสตร์บางท่าน ชื่นชมกับคำว่า "โยเดีย" ที่หมายถึง เมืองของคนแพ้ ซึ่งเท่ากับเป็นการเรียกขานที่ "ข่ม" เมืองหลวงเก่าของตัวเอง รวมถึงคำกร่อนว่า ยุทธยา ที่นิยมกันด้วย แม้ในความจริง อยุธยาจะพ่ายแพ้ ล่มสลาย แต่เราก็ยังอยากเรียกขานอย่างให้เกียรติ ว่า "กรุงศรีอยุธยา" อยู่นั่นเอง

รีวิว ร้าน Playboy อาหารอร่อย บริการดี

วันนี้พาครอบครัว 9 คนไปฉลองสิ้นปีที่ร้าน Playboy สาขาเซ็นทรัล อีสต์วิลล์มาค่ะ เลยสั่งอาหารกันหลายอย่างมาก อร่อยทั้งนั้น ลองมาดูกันนะคะ


เริ่มแรก เข้าร้านมา จะได้เครื่องดื่มต้อนรับ (ไร้แอลกอฮอล์) กันก่อนคนละแก้วเล็กๆ นะคะ สดชื่นดีทีเดียว จากนั้นก็เริ่มสั่งอาหาร




เมนูนี้ สั่งมาทานร่วมกันตรงกลางค่ะ เป็นเห็ดนางฟ้าทอด มีซอสเคียงมา 3 ชนิด อร่อยเชียว (Crispy Fried Mushrooms) ราคา 120 บาท


ตามด้วยผักโขมอบชีส (San Francisco Baked Spinach) ราคา 180 บาท เมนูนี้ คงต้องบอกว่า เป็นผักโขมอบชีสที่อร่อยที่สุดในบรรดาผักโขมอบชีสที่เคยสั่งมาหลายๆ ร้าน เพราะไม่มันเยิ้ม แต่อบมาค่อนข้างแห้ง ไม่เลี่ยน ได้รสผัก รสชีส แบบนุ่มนวล ถ้ามาร้านนี้อีก ก็จะสั่งเมนูนี้อีกแน่นอน



จานนี้ก็ยังเป็นของทานรวมกันตรงกลาง คือ ลาซานญา (Homemade Mama Lasagna) ราคา 250 บาท รสกลางๆ ค่ะ


จานนี้อ่านชื่อยากจัง Quessadilla Spicy Chicken ราคา 190 บาท ตอนสั่งก็นึกว่าน่าจะคล้ายๆ อาหารเม็กซิกัน ที่น่าจะเป็นแป้งทอดกรอบๆ ทานกับซัลซ่า แต่พอมาจริง ออกแนวคล้ายแป้งโรตีมากกว่า แต่มีไส้ด้านในแป้ง เป็นไก่สับ และน่าจะมีชีสด้วย อร่อยสุดๆ โดยแทบไม่ต้องทานคู่กับซอสเลย



ตอนนี้เป็นอาหารจานหลักแล้วค่ะ จานนี้ของคุณน้า สั่งสลัดแซลมอนซอสส้ม  (Grilled Salmon Fera Orangina Salad) ราคา 280 บาท ออกแนวสดชื่น ได้สุขภาพ



จานนี้สลัดเนื้อย่าง (Grilled Beef Salad) ราคา 220 บาท


ต่อด้วย Caesar Salad ราคา 200 บาท สำหรับคุณแม่ผู้กลัวอ้วน เป็นซีซาร์สลัดที่มีไข่ดาวน้ำมาด้วยฟองนึง



จานนี้ สั่งมาทานเองค่ะ และน้องสาวก็สั่งเหมือนกัน เป็นชาโคลเบอเกอร์เนื้อ (My Bunny Burger) ราคา จานละ 250 บาท สำหรับเบอร์เกอร์ของร้านเพลย์บอยจะให้เลือกขนมปังก่อน มีทั้งแบบขนมปังธรรมดา ขนมปังชาโคล และขนมปังธัญพืช ส่วนเนื้อด้านในก็สามารถเลือกได้ทั้ง หมู ไก่ และเนื้อ สำหรับด้านในเนื้อที่เราสั่ง เป็นเนื้อวัวชุ่มฉ่ำ เคียงมากับชีส และแตงกวาดอง ชีสรสดีมาก แตงกวาดองเปรี้ยวเล็กน้อย ทำให้สดชื่น เมนูนี้เป็นอีกเมนูหนึ่งที่ติดใจ และคราวหน้าอยากจะสั่งอีก (ถ้าสั่งด้านในเป็นแซลมอน จะเรียกชื่อเมนู Bunny Five O Burger  ราคา 280 บาท น้องสาวสั่งมา ก็บอกว่าอร่อยดี)



จานนี้สปาเก็ตตี้หอยลาย (Linguine Clams) ราคา 280 บาท


ตามด้วย ฟิช แอนด์ ชิป ซึ่งในเมนูเขียนว่า New English Cod Fish and Chips ราคา 240 บาท



เมนูนี้เป็นสตูเนื้อ (San Jose Beef Stew) ราคา 320 บาท เราแอบทานไปเยอะ เนื้อนุ่ม เหมาะกับคนชอบทานเนื้อ เวลาทานคู่กับขนมปังที่ปิ้งมากรอบๆ เข้ากันดี โดยเฉพาะตอนที่น้ำซุปเข้มข้นจากเนื้ิอซึมเข้ามาในขนมปัง โอ้โห ได้ใจค่ะ


พอเรียกเก็บตังค์ ค่าเสียหายมื้อนี้ 3,060 บาทค่ะ แต่ทางร้านมีโปร มาเกิน 4 คน ลด 25% เลยลดราคาเหลือ 2,913 บาท



แนบใบเสร็จมาด้วย จะเห็นค่าเครื่องดื่ม น้ำเปล่า 6 ขวด 180 บาทค่ะ เซอร์วิสชาร์จ 10% และ VAT ต่างหาก

โดยรวมแล้ว ชอบร้านนี้ค่ะ บริการดีมากๆ พนักงานใส่ใจดูแล แต่อาหารออกช้าหน่อย ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเป็นเพราะเรามากันตั้ง 9 คน อาหารเลยออกช้า กว่าอาหารของคนที่ 6-7 จะมา คนแรกๆ ก็ทานเสร็จแล้ว แต่ก็เป็นปกติที่ครอบครัวเรามักจะเจอเวลาพากันไปทานทั้งบ้าน เลยไม่ได้รู้สึดหงุดหงิด

ถ้าจะให้คะแนน ก็ 8/10 ค่ะ
แอบเสียใจนิดสำหรับโต๊ะที่มา 2 ท่าน เพราะจะไม่ได้โปรโมชั่น มาเกิน 4 คน ลด 25% ยังไงถัามาเกิน 4 ลองร้านนี้ก็ใช้ได้นะคะ อร่อย ไม่แพง บริการดีค่ะ

ผ่าตัดสมอง

ผ่าตัดสมองเหรอ...เรื่องเล็กน่า :)

เมื่อต้นปี 2559 เรามีอาการผิดปกติ เหมือนจะชัก เลยไปหาหมอ ตรวจพบว่า มีเนื้องอกในเยื่อหุ้มสมอง แต่ยังเป็นขนาดเล็ก และเนื้องอกประเภทนี้ ส่วนใหญ...